หน้าแรก

หน้าเว็บ

rooot 888-01

 rooot 888-01  อสูรฟ้า เล็งซาน

https://suwit2019.blogspot.com/p/rooot-888-01.html

ทดสอบ



ตอนที่ 99 : ก่อนเข้าเมืองหลวง (3)


"เจ้าเด็กบัดซบ!! อยากตายมากนักใช่มั้ย"


ชายหนุ่มผู้หนึ่งดูแล้วอายุราวยี่สิบปี กล่าวตะหวาดขึ้นด้วยโทสะ มันยืนอยู่ข้างกายเย่กุน เห็นได้ชัดว่าค่อนข้างเป็นบุคคลสำคัญ เป็นชนชั้นลมปราณสีน้ำเงินขั้นกลางถูกนับได้ว่าเป็นอัจฉริยะรุ่นเยาว์อันดับต้นๆของเมืองหลวงอย่างแน่นอน เหตุผลที่มันบันดาลโทสะนั่น เนื่องเพราะชายที่ได้รับบาดเจ็บจากแก้วน้ำชาเมื่อครู่เป็นลูกน้องคนสนิทของมัน


เล้งซาน ค่อยๆลุกขึ้นอย่างแช่มช้าโดยมิได้สนใจคำพูดหรือสายตาของกลุ่มผู้ฝึกยุทธจากพรรคหยกดาราแม้แต่น้อย ก่อนจะค่อยๆสาวเท้าก้าวเข้าไปหาชายชราซอมซ่อ เสวียนอู่จิงฉานทำหน้าฉงนกับการกระทำของเด็กหนุ่มเล็กน้อย แต่ก็เลือกที่จะไม่ห้ามปรามสิ่งใด มันเพียงแต่จดจ้องการกระทำของเล้งซานต่อจากนี้


เล้งซานเดินช้าผ่านหน้ากลุ่มคนพรรคหยกดารา ก่อนจะใช้หางตาชำเรืองมอง คนที่ด่ามันเมื่อครู่ และพูดอย่างแผ่วเบา


"เจ้าด่าข้าว่าเด็กบัดซบ? ข้าจะขอจดจำไว้"


"เจ้า!!" 


ชายหนุ่มผู้นั้นแทบจะพุ่งทะยานเข้ามาฉีกร่างของเล้งซานเป็นชิ้นๆ ใบหน้าของมันแดงก่ำจนถึงดวงตา แต่ร่างของมันถูกขวางไว้ด้วยแขนซ้ายของเย่กุน ที่กางออกมากันมันไว้ เย่กุน หันมองมาทางเสวียนอู่จิงฉานเล็กน้อย และผงกศีรษะเบาๆหนึ่งครา เป็นเชิงขออภัยแทนคนของมัน จากนั้นเย่กุนก็ชำเรืองมองพลางสำรวจเล้งซานเล็กน้อย การที่มันยังมิกล้าทำอะไรบุ่มบ่าม ส่วนหนึ่งเพราะเห็นแก่หน้าของเสวียนอู่จิงฉาน และอีกส่วนคือมันยังไม่รู้ว่าเล้งซานเป็นใครและมีความสำคัญเพียงใดต่อราชวงศ์ ทั้งที่เป็นเพียงผู้เยาว์คนหนึ่งแต่ทำไมถึงสามารถนั่งร่วมโต๊ะกับเสวียนอู่จิงฉานที่มีตำแหน่งพระญาติขององค์จักรพรรดิ์ได้ มันจึงมิกล้าทำการล่วงเกินโดยมิได้ไตร่ตรองไว้ก่อน


เล้งซานยังคงเดินด้วยใบหน้าที่ไม่ยี่หระต่อทุกสิ่งรอบกาย จนมาถึงโต๊ะของชายชราซอมซ่อ เล้งซานประสานมือ และโค้งตัวลงอย่างนอบน้อม


"ผู้อาวุโส มิทราบว่าท่านมีธุระอันใดต่อข้าผู้เยาว์หรือไม่?"


ชายชราซอมซ่อ นิ่งค้างไปชั่วขณะหนึ่ง ก่อนจะค่อยๆเอียงคอชำเรืองมาทางเล้งซาน


"เจ้าหนุ่ม อะไรทำให้เจ้าคิดว่า ข้านั้นมีธุระกับเจ้า?"


"เรียนผู้อาวุโส เนื่องจากผู้เยาว์เห็นท่านใช้สายตาชำเรืองมองผู้เยาว์ ถึงสามครั้ง ในครั้งแรกนั้นเป็นยามที่ผู้เยาว์มานั่งที่โต๊ะพร้อม อาวุโสเสวียนอู่ ในครั้งสองเป็นยามที่ผู้อาวุโสเสวียนอู่กล่าวถึงพรรคเซียนประทาน และครั้งสุดท้าย เป็นยามที่พรรคหยกดาราเดินเข้ามาในร้าน ซึ่งในครั้งแรกย่อมมิใช่เรื่องแปลกอันใดที่จะชำเรืองมองคนที่เข้ามาใหม่ แต่ในสองครั้งหลังนับว่าไม่มีเหตุจูงใจใดๆเลยที่ท่านจะเหลืองมองมาทางผู้เยาว์"


หางคิ้วของชายชราซอมซ่อ กระตุกเล็กน้อย จากนั้นมันก็ฉีกยิ้มออกมาพร้อมเสียงหัวเราะ


"ฮ่าๆ  ยอดเยี่ยม...ยอดเยี่ยมมาก การที่ข้าชำเรืองมองด้วยหางตาแต่ละครั้งมิเกินครึ่งอึดใจ เจ้าที่นั่งหันหลังให้ข้ากลับสามารถสัมผัสได้อย่างแม่นยำในทุกครั้ง นับว่าเจ้ามีสัมผัสที่เฉียบคมยิ่งนัก ราวกับมิใช่สัมผัสของมนุษย์ อาจเรียกได้ว่าเปรียบดั่งสัมผัสของเทพก็มิปาน ทั้งๆที่เจ้าพึ่งจะอายุเพียงเท่านี้"


"ผู้อาวุโสกล่าวหนักไปแล้ว ตัวผู้เยาว์เพียงแค่ฝึกฝนทางด้านนี้มาโดยเฉพาะ มิอาจเทียบเท่าผู้อาวุโส ที่ปกปิดพลังลมปราณได้ราวกับชาวบ้านธรรมดาเช่นนี้"


ชายชราซอมซ่อฉีกยิ้มเล็กน้อย พลางพยักหน้าเบาๆ ในจังหวะนั้นเอง ลูกน้องของเย่กุน ที่ถูกเล้งซานโยนแก้วน้ำชาเข้าใส่ก็สงบสติลงได้ ด้านหน้าของมันก็พบเล้งซานยืนคุยอยู่กับชายแก่ซอมซ่ออย่างนอบน้อม การถูกหยามเกียรติโดยคนแก่ยังพอทน แต่นี่กลับโดนเด็กอีกคนหยามเกียรติยิ่งกว่า!! คนของพรรคใหญ่อย่างหยกดาราที่มีชื่อเสียงครั่นคร้านในเมืองหลวงอย่างมันมีหรือจะยอมให้ผ่านเลยไป!! 


โทสะบดบังจนมันลืมเลือนไปแล้วว่าเล้งซานมาพร้อมกับเสวียนอู่จิงฉาน มันเปล่งจิตสังหารออกมาแจ่มชัด เปิดแหวนมิติของมันในฉับพลัน ดึงขวานเล่มใหญ่ออกมาจากแหวนมิติ แม้มิใช้อาวุธอักขระ แต่เห็นได้ชัดมาถูกสร้างขึ้นมาอย่างประนีตด้วยเหล็กกล้าชั้นดี


"ไอเด็กบ้า!! เจ้ากล้าทำร้ายข้าเพราะไอแก่นี่ เช่นนั้นก็จงไปพูดคุยกันต่อในนรกเถอะ!!"


ชายเลือดร้อนผู้นี้โคจรพลังชั้นลมปราณสีครามสิบส่วนเต็ม อัดแน่นทั่วร่างง้าวขวานพิฆาตของมันไปด้านหลังหมายฟาดฟันสุดแรง สังหารเล้งซานและชายแก่ซอมซ่อให้ตกตายไปพร้อมกันในคราวเดียว


"ตาย!!"


เล้งซานหรี่ตามองเล็กน้อย ขยับท่าร่างพร้อมตอบโต้สวนกลับแต่ทันทีที่ขวานพิฆาตถูกฟันลงมา ก็มีสิ่งหนึ่งถูกยกขึ้นรองรับกระบวนท่าขวานนี้!! ความเร็วนั่นไม่อาจอธิบายเป็นคำพูด กระทั่งตัวเล้งซานยังมองไม่ทันเสียด้วยซ้ำ!!


เกร้งง!!


เสียงของโลหะกระทบกันดังขึ้นอย่างแจ่มชัด แต่ภาพที่ปรากฏกลับตรงกันข้ามเสียงที่ได้ยินอย่างสุดกู่!! สิ่งที่ยันรับขวานพิฆาตที่ฟันลงมาด้วยพลังสิบส่วนเต็มของชั้นลมปราณสีครามขั้นสูงนั้นมันคือ....ตะเกียบไม้ไผ่!!


ทุกคนในโรงเตี๊ยมต่างเบิกตากว้างโปนโตจนแทบถลนออกจากเบา!! ชายชราซอมซ่อที่ทุกคนเห็นว่าเป็นเพียงชาวบ้านสกปรกธรรมดานั้น ยกตะเกียบไม้ไผ่ขึ้นรับขวาน!! อีกทั้งยังอยู่ในลักษณะที่ขวานถูกคีบไว้ด้วยตะเกียบราวกับเศษผัก ที่วางอยู่บนโต๊ะ


"เฮ้ย!!" 


ชายที่ฟาดฟันขวานลงมาเมื่อครู่ถึงกับร้องออกมาเสียงหลง ขวานพิฆาตที่มันเคยใช่ต่อกรศัตรูมานักต่อนัก กลับถูกรับไว้ด้วยเพียงตะเกียบไม้ไผ่บางๆหนึ่งคู่


"เจ้านี่มันช่างไร้มารยาทซะจริง ขัดขวางคนกินข้าวยังไม่พอ นี่ยังขัดขวางคนคุยกันซะอีก" 

ชายชราซอมซ่อ บ่นอุบอิบเล็กน้อย ก่อนจะสะบัดข้อมือข้างที่คีบตะเกียบ เหวี่ยงทั้งขวานทั้งคน กระเด็นออกจากโรงเตี๊ยมในคราวเดียว

"เหวออออ" 

ชายที่ถูกเหวี่ยงร้องผวาออกมาอย่างตื่นตระหนก ในมุมมองของมันนั้นคล้ายภาพที่ตาสัมผัสเห็นรอบข้างนั้นบิดเบียวในฉับพลันจากการถูกเหวี่ยงด้วยความเร็วและแรงมหาศาล กายร่างหมุนเคว้งคว้างกลางอากาศอย่างไม่อาจหยุดยั้ง


โครม!!


ร่างของมันกระแทกเข้ากับหน้าต่างไม้ของโรงเตี๊ยม จนหน้าต่างพังแหลกละเอียด ก่อนที่ร่างของชายผู้นี้จะร่วงหล่นตกลงถัดจากหน้าต่างไปราวๆสิบก้าวใหญ่ แม้มันไม่ได้บาดเจ็บมากนักแต่ก็เกิดอาการมึนงงจนมิอาจลุกยืน หลังจากปะติดปะต่อเหตุการณ์ได้ ร่างของมันก็สั่นสะท้านขึ้นจากความหวาดหวั่นต่อชายชราซอมซ่อ หากชายชรามิได้กระทำการเพียงสั่งสอนมัน มันมิอาจนึกถึงสภาพตนเองต่อได้อีกเลย ต่อให้หลังจากนี้อาจถูกอาวุโสพรรคของมันลงโทษ แต่มันก็มิอาจรวบรวมความกล้าที่จะเข้าไปในโรงเตี๊ยมได้อีก ทำได้เพียงนั่งกายสั่นสะท้านอยู่ด้านนอกด้วยอาการหวาดหวั่นจนแทบฟุ้งซ่าน...



ทุกคนภายในโรงเตี๊ยมถึงกับอ้าปากค้างจนมิอาจหุบราวกับขากรรไกรของพวกมันถูกยึดด้วยเหล็กกล้า กระทั่งเย่กุน ชนชั้นลมปราณสีเหลือง ที่มีพลังสูงสุดในบริเวณนี้ยังถึงกับแข็งค้างไปชั่วครู่ใหญ่ เพราะแม้แต่ตัวมันเอง การที่จะใช้ตะเกียบไม้ไผ่รับขวานพลังเต็มสิบส่วนเช่นนั้นก็ยังมิอาจทำได้!! พลังลมปราณที่แฝงอัดแน่นภายในตะเกียบคู่นั้นย่อมต้องมหาศาลจนมิอาจคาดคะเน



"พวกเจ้าพรรคหยกดารา ก็ออกไปจากที่นี่ซะ ตามเจ้าคนไร้มารยาทนั่นไปได้แล้ว ข้าจะกินข้าวต่อ" ชายชรากล่าวอย่างแช่มช้า พลางยกตะเกียบที่ใช้รับขวานพิฆาตเมื่อครู่ขึ้นมาคีบผักบนโต๊ะกินข้าวต่อ ราวกับว่าเมื่อครู่ไม่มีเหตุการณ์ใดๆเกิดขึ้น



"ขะ...ขอรับ ผู้อาวุโส ตะ...ต้อง ขออภัยที่พวกข้าไร้มารยาท หะ...หากพบกับคราวหน้า ขอท่านอย่าได้โกรธเคืองเรื่องในวันนี้" เย่กุน รีบตอบอย่างตะกุกตะกัก โค้งตัวลงต่ำเสียจนศีรษะของมันแทบจะโขกลงพื้นในท่ายืน เหล่าคนของพรรคหยกดารา เมื่อเห็นผู้อาวุโสของมันแสดงอากัปกิริยาเช่นนั้นก็ต่างขนลุกสู้ชูชัน รีบโค้งตัวขอขมาชายชราซอมซ่อเช่นกัน และรีบหันหลังกลับในชั่วอึดใจ!!



"เดี๋ยวก่อน!!"



มีเสียงเรียกหนึ่งก้องกังวาลดังขึ้น จนพวกพรรคหยกดาราพลันต้องสะดุ้งกันตัวโก่ง แต่เสียงนี้กลับมิใช่ชายชราซอมซ่อ แต่มันเป็นเสียงของเด็กหนุ่มผู้หนึ่ง นั่นคือ เล้งซาน!!



เหล่าคนของพรรคหยกดาราต่างหันขวับกันมาด้วยเพลิงโทสะ เนื่องจากชายชราซอมซ่อยอมปล่อยมันไปแต่โดยดีแล้ว แต่เล้งซาน กลับฉุดรั้งพวกมันไว้!! หากเป็นสถานการณ์อื่น เย่กุน ย่อมต้องทะยานร่างด้วยพลังสิบส่วนเต็มเข้ามาตบปากเล้งซานเป็นแน่แท้


"เจ้า!! จงจำไว้ว่าข้าชื่อเล้งซาน อีกไม่นานข้าจะเข้าสู่เมืองหลวง หนี้ที่เจ้ากล้าเรียกข้าว่า เด็กบัดซบ นั้น ข้าจะเลาะฟันของเจ้าออกมา ตามจำนวนครั้งที่เจ้ากล้าเรียกข้าเช่นนั้น" เล้งซานกล่าวพลางยกนิ้วขึ้นชี้หน้าของ ชายหนุ่มที่ยืนอยู่ข้างเย่กุน



ชายหนุ่มผู้นั้นขบกัดฟันจนแทบแหลกด้วยความโกรธแค้น ตลอดชีวิตไม่เคยมีใครกล้าสบประมาทมันได้รุนแรงเช่นนี้มาก่อน



"ข้า อี้คัง บุตรชายของอาวุโสสูงสุดแห่งพรรคหยกดารา จำชื่อข้าไว้ให้ดี เจ้าเด็กบัดซบ!!" อี้คัง กระแทกเสียงใส่ทันที ก่อนจะหันหน้ากลับและเดินจากไปเพราะเกรงกลัวว่าชายชราซอมซ่อจะเปลี่ยนใจ


เล้งซานแสยะยิ้มชั่วร้ายขึ้นวูปหนึ่งก่อนจะตะโกนสวนไปว่า


"2 ซี่!!"


อี้คัง ชะงักเท้าทันที กายร่างของมันสั่นสะท้านจนแทบมิอาจทนได้ โทสะของมันระเบิดออกจนถึงขีดสุดแล้ว ขณะที่มันกำลังจะพุ่งเข้าไปฉีกร่างของเล้งซาน แต่ก็ได้ถูก เย่กุน จับคว้าแขนไว้และรีบลากตัวออกไปจากโรงเตี๊ยมอย่างไวที่สุด


เล้งซานหรี่ตามองเล็กน้อยไปทางคนของพรรคหยกดารา ก่อนจะฉีกยิ้มมัจจุราชขึ้นวูบหนึ่ง และพึมพำกับตนเองอย่างแผ่วเบา...



"พรรคหยกดารา? หึหึ น่าสนใจ เหตุการณ์ในวันนี้ทำให้โอกาสที่พรรคของเจ้าจะถูกยึด เปลี่ยนจากศูนย์กลายเป็นหนึ่งในสิบส่วน"


เล้งซานหันกลับมาทางชายชราซอมซ่อ แต่ก็ยืนนิ่งไม่กล้าเสียมารยาทเอ่ยถามขณะชายชรากำลังทานอาหาร 


"ไอหนู อย่าได้กังวลไปข้าย่อมมิใช่ศัตรูของเจ้า ข้าเพียงแค่อยากเห็นหน้าเด็กหนุ่มอัจฉริยะ ผู้ซึ่งรับตำแหน่งผู้นำพรรคใหญ่ทางทิศเหนือด้วยวัยเพียง 16 ปี ก็เท่านั้น" ชายชราซอมซ่อกล่าวไปพลางขบเคี้ยวอาหาร แม้มันชอบให้ผู้อื่นมีมารยาทต่อมัน แต่มันกลับเกลียดคำว่ามารยาทของมันเองที่สุด เหตุผลเพราะมันมีพลังพอที่จะไร้มารยาทต่อผู้คนได้ทั่วแผ่นดิน!!


"ท่านทราบ?" เล้งซาน ขมวดคิ้วขึ้น


"เจ้าก็น่าจะมองออกว่าข้าเป็นคนของพรรคเซียนประทาน ขอเพียงไม่ใช่ความลับเฉพาะบุคคล ข่าวสารทั่วทวีปนี้ไม่มีเรื่องใดที่พรรคข้าจะไม่รู้ หากกลุ่มปีศาจอสูรที่เจ้าพูดถึงครอบครองพลังที่แข็งแกร่งที่สุดในทวีป พรรคเซียนประทานของข้าก็ครอบครองข่าวสารที่มากที่สุดในทวีปเช่นกัน" ชายชราซอมซ่อกล่าวขึ้นอย่างไม่อายปาก เพราะมันคือเรื่องจริง!! 


พรรคเซียนประทานมีสมาชิกพรรคที่เป็นขอทานหลายแสนคน หรืออาจจะนับล้านก็ไม่ใช่คำกล่าวเกินเลย แทรกซึมอยู่ในทุกๆเมืองของทวีปนี้ พลังข่าวสารของมันย่อมเหนือล้ำกว่าพรรคอื่นๆอย่างทาบไม่ติด


"เช่นนั้นตำแหน่งในพรรคของผู้อาวุโสคือ?" เล้งซานถามต่อ


"เจ้ายังไม่จำเป็นต้องรู้" ชายชราซอมซ่อกล่าวจบ ก็วางตะเกียบลงบนโต๊ะ และลุกขึ้นสบตากับเล้งซาน ด้วยสีหน้าจริงจังเคร่งเครียด ก่อนจะกล่าวต่อว่า...


"วันนี้ ข้ามีเรื่องสำคัญที่จะให้เจ้าช่วยเสียหน่อย"

เล้งซานเบิกตาอึ้งไปชั่วขณะ ในใจพลางคิดว่าการที่คนระดับนี้มีเรื่องให้มันช่วยย่อมมิใช่เรื่องธรรมดาสามัญเป็นแน่ แต่ด้วยกำลังของมันในตอนนี้จะปฏิเสธได้อย่างไร? เล้งซานประสานมือขึ้น

"หากผู้เยาว์สามารถที่จะกระทำได้ จะกระทำอย่างสุดความสามารถแน่นอน ขอผู้อาวุโสเชิญกล่าวมาเถิด" เล้งซานจำต้องพูดไปเช่นนั้น เพราะมันไม่อาจปฏิเสธ


ชายชราซอมซ่อ ยังคงหน้านิ่งสงัด ยกมือขึ้นตบบนบ่าของเล้งซานเบาๆ


"จ่ายค่าข้าวมื้อนี้ให้ข้าหน่อย ข้าไม่มีเงิน"


วูบบบ


ทันทีที่ชายชราซอมซ่อกล่าวจบ ก็มีลมกรรโชกพัดผ่านเข้ามาในโรงเตี๊ยมวูบหนึ่ง และร่างของชายชราก็หายไปในบัดดล...


100

ตอนที่ 100 : เข้าสู่เมืองหลวง



เล้งซานยืนอื้ออึงแข็งค้างอยู่กว่าสามอึดใจ คล้ายยังคงงุนงงกับคำกล่าวของชายชราซอมซ่อ จากนั้นกายก็สั่นสะท้านหน้าแดงฉานขึ้นมาด้วยความอับอายตนเอง ที่พะวงด้วยเรื่องไร้สาระเยี่ยงนี่



'ไอแก่ตัวแสบ!! มันกินแล้วชิ่งนี่หว่า!!'



เล้งซานทอดถอนหายใจเล็กน้อยก่อนจะตะโกนร้องขึ้น


"เสี่ยวเอ้อ!! ค่าอาหารโต๊ะนี้ รวมถึงค่าหน้าต่างที่พัง เก็บเงินที่โต๊ะข้า"



กล่าวจบเล้งซานก็เดินกลับไปที่โต๊ะของตนและเสวียนอู่จิงฉาน ด้วยอารมณ์หงุดหงิดเล็กน้อย ในใจพลางคิดว่าเรื่องในวันนี้มันไม่ยอมจ่ายเงินโดยเสียเปล่าแน่ๆ หากคราวหน้าพบตาแก่นี่อีก มันต้องทวงคืน!!



เมื่อเล้งซานนั่งลงที่โต๊ะ เห็นเสวียนอู่จิงฉานยังคงแข็งค้างราวกับต้องมนต์สะกด แม้ผ่านไปครู่ใหญ่แล้วเสวียนอู่จิงฉานก็ยังคงประมวลเหตุการณ์ทั้งหมดไม่ได้



ก๊อก ๆ


เล้งซานเคาะโต๊ะเบาๆสองครั้งเพื่อเรียกสติของพระญาติจักรพรรดิ์ผู้นี้ แววตาที่เหม่อลอยของเสวียนอู่จิงฉานก็เปล่งประกายได้สติขึ้นมา รู้สึกตัวอีกทีเล้งซานก็กลับมานั่งอยู่ที่โต๊ะแล้ว



"คะ...คนผู้นี้เป็นใครกัน!! แล้วเจ้าทราบตั้งแต่เมื่อใดว่ามันเป็นยอดฝีมือ!!"


เสวียนอู่จิงฉานกล่าวถามด้วยอาการตื่นตะลึง 



"เรียนผู้อาวุโส การควบคุมลมปราณของตาแก่นั่นแทบจะเรียกได้ว่าอยู่ในจุดสูงสุดแล้ว สามารถลบกระแสพลังปราณที่แผ่ออกมาจากร่างทั้งหมด ได้อย่างหมดจดจนไม่มีทางที่เราจะสัมผัสได้ ตราบใดที่เรามีพลังลมปราณในระดับต่ำกว่าตาแก่นั่น 


แต่เผอิญว่าข้ามีสัมผัสพิเศษจากการฝึกปรือที่แตกต่างจากปรกติ จึงสัมผัสได้ในทันที แต่ที่ข้ามิได้บอกท่านนั้น เพราะข้ามิรู้เจตนาที่แน่ชัดของตาแก่ หากเป็นศัตรูกับเราและเกิดมันทราบว่าเราล่วงรู้ถึงการมีตัวตนของมันจากกิริยาในตอนที่ข้าบอกท่าน เราจะสามารถหยุดยั้งมันได้อย่างนั้นหรือ? ไม่มีทางเด็ดขาด เพราะพลังลมปราณของตาแก่นั่น แม้ข้ามิอาจเจาะจงได้ว่ามันบรรลุถึงขั้นใด แต่มันเป็นชนชั้นลมปราณสีส้ม อย่างแน่นอน!!"



เล้งซานไม่ได้กล่าวว่าสัมผัสพิเศษของมันมาจากสัมผัสแห่งมังกรจากร่างสถิตย์มังกรฟ้า เพราะมันมิใช่เรื่องที่สมควรไปอวดโอ้แก่ผู้ใด แต่เพื่อมิให้ไร้ที่มาจึงโป้ปดบ่ายเบี่ยงว่าเป็นการฝึกปรือแบบพิเศษ จะได้มิถูกสงสัย



"ชนชั้นลมปราณสีส้ม อย่างนั้นหรือ!! งั้นก็แปลว่าตาแก่นี้ย่อมต้องเป็นผู้อาวุโสหลักของพรรคเซียนประทานเป็นแน่" เสวียนอู่จิงฉานกล่าวด้วยน้ำเสียงตื่นตระหนก เพราะพรรคเซียนประทานนั้น มิได้มีตำแหน่งพรรคที่แน่นอนอย่างพรรคใหญ่อื่นๆ การพบเจอผู้อาวุโสพรรคนั้น ยิ่งยากเสียยิ่งกว่ายาก หากบุคคลระดับนี้ไม่ออกมาปรากฏตัวด้วยตนเองแล้วล่ะก็ การจะตามหานั้นเปรียบได้ราวกับงมเข็มในมหาสมุทรก็ไม่ปาน



"ยังดีที่พรรคเซียนประมานนั้นมีจุดยืนที่แน่ชัด แม้ไม่อาจเรียกว่าเป็นพันธมิตร แต่ก็ไม่อาจเรียกได้ว่าเป็นศัตรูเช่นกัน พวกเราจึงมิต้องกังวลกับเรื่องนี้มากนัก พรุ่งนี้พวกเราก็ออกเดินทางสู่เมืองหลวงฟ้าทมิฬกันเลย" เสวียนอู่จิงฉานกล่าว จากนั้นพวกมันทั้งสองจึงแยกกันไปพักผ่อนเพื่อออกเดินทางสู่เมืองหลวง...




........



เล้งซานและเสวียนอู่จิงฉาน เริ่มเข้าสู่น่านฟ้าเหนือเมืองหลวงฟ้าทมิฬ แม้จะอยู่สูงจากพื้นนับร้อยเมตรยังมิอาจมองเห็นครอบคลุมกำแพงเมืองจากฝั่งหนึ่งไปยังอีกฝั่งหนึ่งได้ ความใหญ่โตของเมืองหลวงฟ้าทมิฬนั้นกว้างขวางกว่าเมืองเมฆครามอย่างน้อยยี่สิบเท่า!! เพียงแค่เขตพระราชวังของราชวงศ์เสวียนอู่ก็ใหญ่โตเทียบเท่าเมืองเมฆครามทั้งเมืองแล้ว 



น่านฟ้าของเมืองฟ้าทมิฬก็มิได้มีเพียงแค่อินทรีข้ามฟ้าของเล้งซานและเสวียนอู่จิงฉาน แต่กลับมีสัตว์อสูรอยู่ทั่วไปหมดเต็มน่านฟ้าของเมือง!! ในเมืองเมฆครามผู้ที่จะครอบครองสัตว์อสูรพาหนะซักตัวยังนับว่าแทบนับหัวได้ ส่วนใหญ่จะเป็นพรรคระดับสูงๆหรือชนชั้นระดับสูงๆเท่านั้น แต่ในเมืองฟ้าทมิฬแห่งนี้ กลับมีขายภายในเมืองอย่างล้นหลาม แสดงออกได้ถึงความมั่งคั่งของเมืองหลวงแห่งนี้ 



สัตว์อสูรพาหนะนั้นถูกแบ่งออกเป็น สามระดับชั้น สัตว์อสูรพาหนะตั้งแต่ชั้นลมปราณสีครามลงมาจะถูกนับเป็นสัตว์อสูรพาหนะชั้นต่ำ สัตว์อสูรพาหนะชั้นลมปราณสีน้ำเงินและสีเขียวจะถูกนับเป็นสัตว์อสูรพาหนะชั้นกลาง และตั้งแต่ระดับชั้นลมปราณสีเหลืองขึ้นไปนั้นจะเป็นสัตว์อสูรพาหนะชั้นสูงสุด



การจะเป็นเจ้าของสัตว์อสูรได้นั้นจะต้องครอบครองป้ายวิญญาณอสูร ที่ถูกสร้างขึ้นโดยผู้ควบคุมสัตว์อสูรเท่านั้น โดยขั้นตอนการทำป้ายวิญญาณอสูรคือให้ผู้ควบคุมสัตว์อสูรกำราบสัตว์อสูรตัวนั้น จากนั้นใช้วิชาพิเศษของผู้ควบคุมสัตว์อสูรดึงจิตวิญญาณมาผนึกไว้ในป้ายวิญญาณอสูรที่สร้างขึ้นจากแร่โลหะคงกระพัน สัตว์อสูรตัวที่ถูกผนึกนั้นจะเสียสติสัมปชัญญะไปครึ่งหนึ่งทำให้ควบคุมได้ง่ายขึ้นโดยผู้ครอบครองป้ายวิญญาณอสูร ยิ่งสัตว์อสูรแข็งแกร่งมากเพียงใดการผนึกนั้นยิ่งทำได้ยากขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งสัตว์อสูรชั้นลมปราณสีเหลืองขึ้นไป ที่มีความเฉลียวฉลาดจนสามารถใช้ลมปราณสื่อสารเป็นภาษาของมนุษย์ได้การจะผนึกมันนั้นต้องเป็นผู้ใช้วิชาควบคุมสัตว์อสูรในระดับสูงสุด ขั้นตอนนั้นก็ยากยิ่งเสียจนไม่อาจอธิบาย ดังนั้นทั่วทวีปเต่าทมิฬจึงมีผู้ครอบครองสัตว์อสูรพาหนะชั้นสูงสุดเพียงแค่หยิบมือเท่านั้น



ผู้ที่ใช้วิชาควบคุมสัตว์อสูรนั้นหาได้ยากยิ่งในโลกใบนี้ แต่สำหรับทวีปเต่าทมิฬซึ่งเป็นทวีปต้นกำเนิดของวิชาควบคุมสัตว์อสูร จึงมีคนในวิชานี้ภายในทวีปอยู่เยอะพอสมควร หากกล่าวถึงวิชาอักขระกำกับ ทวีปที่มีผู้วิชานี้มากที่สุดย่อมเป็นทวีปมังกรฟ้าที่เป็นแหล่งกำเนิดวิชา ส่วนวิชาควบคุมสัตว์อสูรนี้ก็พบมากในทวีปเต่าทมิฬที่เป็นต้นกำเนิดวิชาเช่นเดียวกัน 



เล้งซานค่อนข้างเปิดหูเปิดตาเป็นอย่างมากเมื่อเห็นทัศนียภาพของเมืองฟ้าทมิฬ เนื่องจากภาพที่มีสัตว์อสูรบินว่อนทั่วน่านฟ้าเช่นนี้ ไม่สามารถพบเห็นได้เลยในทวีปอื่น แม้ในทวีปเต่าทมิฬก็ไม่มีเมืองใดพบเห็นสัตว์อสูรได้มากมายเทียบเท่ากับเมืองหลวงแห่งนี้



ในส่วนของพื้นที่เมืองฟ้าทมิฬก็อลังการไม่แพ้น่านฟ้า สิ่งก่อสร้างร่วมถึงสถาปัตยกรรมที่สวยงาม แพรวพราวชนิดที่ว่าเมืองเมฆครามไม่อาบเทียบติดแม้แต่หนึ่งในร้อยส่วน กระทั่งกลางเมืองยังมีทะเลสาปขนาดย่อมหนึ่งแห่งสำหรับพักผ่อนหย่อนใจ แต่สิ่งที่สะดุดตาที่สุดในเมืองนี้คือสถานที่สองแห่ง

 


หนึ่งคือส่วนพระราชวัง ซึ่งเป็นสถานที่วิจิตรตระการตา น่าพิศวงอย่างล้ำลึกหากบอกว่าถูกสร้างขึ้นด้วยจิตรกรชั้นยอดนับหมื่นคนก็ยังไม่นับว่ากล่าวเกินเลย งดงามราวกับมิใช่สิ่งปลูกสร้างที่เกิดขึ้นด้วยฝีมือของมนุษย์ ไม่อาจนึกภาพถึงยามที่สถานที่แห่งนี้ยามที่สร้างขึ้นได้เลย



และอีกสถานที่นั้นตั้งอยู่ในทิศตรงข้ามของพระราชวัง เป็นหอคอยสูงใหญ่โดยฐานของหอคอยนี้กว้างขวางใหญ่โตสนิทที่ว่าคนธรรมดาที่ไร้ลมปราณไม่อาจเดินได้รอบหอคอยนี้ได้ภายในหนึ่งวัน!! ความสูงของหอคอยนี้นั้นแม้เล้งซานอยู่บนหลังของอินทรีข้ามฟ้าที่สูงจากพื้นดินเกินกว่าร้อยเมตร ยังต้องเหลือบตาขึ้นฟ้าเพื่อมองยอดหอคอย!! หอคอยแห่งนี้ไม่ได้มีความสวยงามมากนักนอกจากขนาดที่ใหญ่โต แต่ภาพลักษณ์ของมันแฝงไว้ด้วยความโบราณเก่าคร่ำครึโดยไม่อาจประมาณอายุของหอคอยแห่งนี้ได้เลยแม้แต่น้อย อีกทั้งยังมิอาจบินเข้าใกล้ในรัศมี 2 ลี้รอบหอคอยนี้ได้ คล้ายถูกผลักดันด้วยพลังงานมหาศาลบางอย่าง หากใช้สัตว์อสูรพาหนะโฉบบินเข้าไปใกล้เกินรัศมี 2 ลี้ของหอคอยจะต้องถูกแรงกดดันมหาศาลนี้กดทับจนร่วงหล่นกลางเวหาในฉับพลันเป็นแน่!!



แม้เล้งซานอยากที่จะเอ่ยปากถามเสวียนอู่จิงฉานถึงที่มาของหอคอยแห่งนี้ใจแทบขาด แต่ก็จำต้องรอให้ถึงพื้นดินเสียก่อน เนื่องจากขณะนี้ทั้งคู่อยู่บนหลังอินทรีข้ามฟ้า จึงไม่สามารถพูดคุยสนทนากันได้ จากเสียงแรงลมที่ปะทะมหาศาลรวมถึงระยะห่างมิไม่ได้ใกล้กันสักเท่าไหร่ เล้งซานจึงต้องเก็บความสงสัยนี้ไว้ภายในจิตใจ



ไม่นานนักเล้งซานและเสวียนอู่จิงฉานก็ได้ร่อนลงใกล้เขตพระราชฐานเพื่อเดินเท้าต่อ เนื่องจากกฎของเมืองหลวงฟ้าทมิฬนี้คือ ข้ามใช้สัตว์อสูรพาหนะบินผ่านพระราชวังเป็นอันขาด มิเช่นนั้นอาจถูกทหารที่เฝ้าระวังบนพื้นราบใช้อาวุธอักขระโจมตีสอยยิงลงมาได้ และความผิดนี้ถึงขั้นต้องถูกพิพากษาโดยการประหารชีวิตในทันทีอย่างไม่มีข้อยกเว้น



"อาวุโสเสวียนอู่ ข้าอย่างทราบว่าหอคอยเมื่อครู่..."



"เรื่องอื่นเอาไว้ก่อน ตอนนี้เราต้องรีบเข้าเฝ้าองค์จักรพรรดิ์ในทันที เพราะราชโองการเขียนไว้ชัดเจน" เล้งซานยังพูดไม่ได้จบประโยคก็ถูกเสวียนอู่จิงฉานตัดบท มันจึงมิกล่าวสิ่งใดต่อและรีบเดินตามเสวียนอู่จิงฉานเข้าสู่ส่วนชั้นในของพระราชฐาน



ด้านในเต็มไปด้วยเหล่าทหารซึ่งทั้งหมดเป็นผู้ใช้ลมปราณชั้นสูงทั้งสิ้น ด้วยสัมผัสแห่งมังกรของเล้งซานสามารถบอกได้ทันทีว่ากองกำลังทหารที่รักษาการ ณ พระราชฐานนี้มีไม่ต่ำกว่าหนึ่งหมื่นนาย และทั้งหมดเป็นชนชั้นลมปราณสีน้ำเงิน ชนชั้นลมปราณสีเขียวอีกหลายร้อย และชนชั้นลมปราณสีเหลืองอีกกว่าสี่สิบคน!! เล้งซานแทบจะเดินตามติดเสวียนอู่จิงฉานโดยตัวแทบจะแนบชิด เพราะหากตัวมันถูกตัดสินว่าเป็นผู้บุกรุกมันอาจตายได้ไม่ต่ำกว่าร้อยครั้งในชั่วสิบอึดใจ!!



"เฟรย่า ท่านสัมผัสผู้ใช้ลมปราณชั้นสีส้มได้บ้างหรือไม่?" เล้งซานกล่าวถามเฟรย่าภายใต้จิตสำนึก



"ไม่มีทาง!! ชนชั้นลมปราณสีส้มนั้นก้าวเข้าสู่พลังระดับชั้นสุดยอดแล้ว คนเหล่านี้จะควบคุมพลังปราณได้อย่างไร้ที่ติ เนื่องด้วยตัวเรายามนี้นั้นไม่มีกายเนื้อจึงยากที่จะตรวจสอบ แม้สัมผัสเทพของเราก็มิอาจตรวจจับได้หากคนเหล่านี้ปิดกั้นพลังอย่างสมบูรณ์ มีเพียงทางเดียวคือต้องเข้ามาใกล้เจ้าในระยะครึ่งลี้เท่านั้น ถึงจะสามารถตรวจจับได้ด้วยสัมผัสแห่งมังกรที่เฉียบคมที่สุดของเจ้า" เฟรย่ากล่าว



"แต่สัมผัสแห่งมังกรของข้ายามนี้ครอบคลุมอาณาเขตได้กว่าสิบลี้แล้วนะ เหตุใดต้องเข้ามาถึงระยะครึ่งลี้ถึงจะตรวจสอบได้"



"เหอะ!! ยิ่งอาณาเขตของสัมผัสกว้างขึ้นเพียงใดความหนาแน่นของสัมผัสก็จะยิ่งน้อยลง อย่างที่เราบอกต้องเป็นระยะครึ่งลี้เท่านั้นเจ้าถึงจะจับกระแสพลังได้คราวๆเหมือนอย่าง ตาแก่ขอทาน เมื่อสองวันก่อน"



"เช่นนี้นี่เอง" เล้งซานผงกศีรษะเบาๆ



ผ่านไปครู่ใหญ่เล้งซานและเสวียนอู่จิงฉานก็มาถึงทางเข้าท้องพระโรง โดยด้านหน้ามีกงกงผู้หนึ่งยืนรออยู่ กงกงผู้นี้เป็นชนชั้นลมปราณสีเหลืองขั้นสูง!!



"เรียนกงกง ข้าพาเล้งซานแห่งพรรคมังกรฟ้า มาเข้าพบฝ่าบาทตามราชโองการ ก่อนหน้านี้หนึ่งชั่วยามข้าได้ใช้หยกสื่อสารโบราณแจ้งข่าวไว้ก่อนแล้ว" เสวียนอู่จิงฉานกล่าวพลางประสานมืออย่างนอบน้อม



"ท่านเสวียนอู่จิงฉาน ฝ่าบาททรงทราบเรื่องแล้ว พระองค์ทรงตรัสว่าให้ท่านและข้ารออยู่ด้านนอก พระองค์ต้องการให้เล้งซานเข้าเฝ้าเป็นการส่วนพระองค์" กงกงกล่าวอย่างเนืองช้า



เสวียนอู่จิงฉานนิ่งไปครู่หนึ่งจากนั้นก็หันมาพยักหน้าให้แก่เล้งซาน เล้งซานจึงเดินเข้ามาหากงกง ส่งมอบราชโองการเพื่อยืนยันตัวตน จากนั้นกงกงก็ผายมือออกเป็นเชิงอนุญาติให้เข้าสู่ท้องพระโรง



ภายในใจเล้งซานนั้นประหม่าเล็กน้อย แต่ก็ตรงเข้าไปทันทีโดยไม่แสดงอาการใดๆออกมาในภายนอก ส่วนหนึ่งมันก็รู้สึกแปลกใจอย่างมากกับการที่กงกงปล่อยให้มันเข้าไปด้านในเป็นการส่วนพระองค์ เหตุใดความปลอดภัยจะหละหลวมเช่นนี้? หากเล้งซานเป็นศัตรูแอบแฝงมาองค์จักรพรรดิ์จะมิถูกลอบปลงพระชนต์ได้โดยง่ายอย่างนั้นหรือ? คำถามเหล่านี้ดังคิดแต่เล้งซานก็มิได้กล่าวถามผู้ใด ได้แต่เก็บความสงสัยและเดินต่อไปยังส่วนใน



แต่ในทันทีที่วางเท้าก้าวแรกเข้าสู่ท้องพระโรง ขนทั่วทั้งสรรพางค์กายต่างผุดตั้งลุกขึ้นชูสั่นโดยมิอาจหยุดได้ แผ่นหลังทั้งผืนของมันเปียกชุ่มในอึดใจเดียว เหงื่อผุดออกจากหน้าผากอย่างท่วมท้นราวกับจะอาบร่างของเล้งซาน




'บัดซบ!! ก็ว่าทำไมการคุ้มกันถึงหละหลวมเช่นนี้ แรงกดดันขนาดนี้นี่มันชนชนลมปราณสีส้มชัดๆ!!"

 


101

ตอนที่ 101 : เข้าเฝ้าองค์จักรพรรดิ์



นี่นับเป็นครั้งแรกที่เล้งซานรู้สึกถึงการกดทับของแรงกดดันมหาศาลถึงเพียงนี้ แม้ในอดีตตระกูลเล้งนั้นจะมีชนชั้นลมปราณสีส้มอยู่หลายคน แต่เล้งซานในอดีตก็เป็นชนชั้นลมปราณสีส้มเช่นกัน จึงไม่ได้รับรู้ถึงแรงเสียดทานกดทับที่ท่วมท้นเยี่ยงนี้!! เมื่อสองวันก่อนแม้ชายชราซอมซ่อจะเป็นชนชั้นลมปราณสีส้ม แต่ชายชราก็มิได้ปล่อยแรงกดดันออกมาข่มทับผู้ใด ครานี้จึงเป็นครั้งแรกอย่างแท้จริงที่เล้งซานถูกสะกดข่มโดยสมบูรณ์!!



แม้ร่างของเล้งซานจะแทบแหลกเป็นชิ้นๆจากแรงกดดันมหาศาล แต่มันก็เลือกที่จะสาวเท้าก้าวต่อไป โดยไม่ยอมแสดงสีหน้าบิดเบี้ยวออกมา จนกระทั่งมาหยุดยืนอยู่ด้านหน้าของเก้าอี้ทองคำขนาดใหญ่ เก้าอี้นี้ถูกสลักลายวิจิตรงดงามด้วยรูปลักษญ์ของสัตว์อสูรชั้นเทพในตำนาน ราชันย์เต่าดำ!! รูปร่างเป็นเต่าแต่ศีรษะคล้ายมังกร ปลายหางเป็นพญาอสรพิษตัวยาวชูคอสง่างาม 


ชายผู้นั่งอยู่บนเก้าอี้บัลลังก์เต่าดำนี้ เป็นชายวัยกลางคนรูปงามอายุนั้นไม่อาจคาดคะเนได้จากรูปลักษณ์ภายนอก สวมชุดคลุมสีทองอร่ามผืนผ้าเป็นลวดลายเต่าดำที่น่าเกรงขาม ชำเรืองมองเล้งซานจากด้านบนที่สูงกว่าพื้นล่างของท้องพระโรงกว่า 2 เมตร



เล้งซาน สะกดข่มอาการทั้งหมดด้วยสีหน้านิ่งสงัด ประสานมืออย่างสง่าไม่มีสั่นไหวกริ่งเกรง ค่อยๆคุกเข่าลงอย่างเนืองช้า



"ข้ากระหม่อมมีนามว่าเล้งซาน ผู้นำพรรคมังกรฟ้าแห่งดินแดนทางเหนือ ถวายบังคมฝ่าบาท" เล้งซานกล่าวพลางโค้งตัวลงด้วยท่าคุกเข่า



"ยอดเยี่ยมมาก แม้ชนชั้นลมปราณสีเหลือง เมื่อถูกข้าสะกดข่มด้วยแรงกดดันเช่นนี้ยังแสดงอาการอย่างแจ่มชัด แต่เจ้ากลับเก็บอาการเหล่านั้นได้อย่างยอดเยี่ยม กระทั่งกระแสลมปราณที่ปล่อยออกมายังไม่สั่นไหวแม้แต่น้อย การควบคุมลมปราณในร่างก็จัดว่าอยู่ในระดับสูงสุดด้วยวัยเพียงเท่านี้ สามารถปิดกั้นพลังที่แผ่ออกมาได้อย่างสมบูรณ์หมดจด จนแผ่ออกมาเพียงชั้นลมปราณสีน้ำเงินขั้นกลาง แม้แต่ข้ายังต้องเพ่งพินิจอยู่ครู่หนึ่งจึงจะรู้ระดับพลังสูงสุดของเจ้า" ด้วยความต่างชั้นอย่างสุดกู่ของระดับชั้นพลัง ทำให้องค์จักรพรรดิ์สามารถรับรู้ได้ถึงระดับพลังสูงสุดที่เล้งซานพยายามปิดบังอยู่ได้โดยง่าย



"หม่อมชั้นมิได้จงใจปกปิดพลังจากสายพระเนตรของพระองค์แต่อย่างใด หม่อมชั้นกระทำเพื่อปกปิดจากเหล่าศัตรูเพียงเท่านั้น หวังว่าพระองค์จะมิทรงขัดพระทัยจากเรื่องเล็กน้อยเช่นนี้" เล้งซานยังคงมิได้ลุกขึ้นยืน ประสานมือโค้งตัวอย่างนอบน้อมในท่าคุกเข่า



"อืม...ข้าเข้าใจ ยังนับว่าเจ้าฉลาดมากที่มิได้อวดโอ้พลังของตนโดยใช่เหตุ ลุกขึ้นเถิด"



"ขอบพระทัย ฝ่าบาท" เล้งซานค่อยๆลุกขึ้นช้าๆด้วยความสง่า



"ข้ามีคำถามอยากจะถามเจ้า ซึ่งข้าคิดว่าแม้ข้าไม่เอ่ยปากเจ้าก็คงทราบว่าข้าอยากทราบเรื่องใด" เสวียนอู่เฉิน หรี่ตามองเล้งซานเล็กน้อย



แม้ถูกกดดันด้วยพลังมหาศาลจากชนชั้นลมปราณสีส้ม ถูกจักรพรรดิ์ผู้ที่อยู่ในจุดสูงสุดของทวีปแห่งนี้ไตร่ถาม แต่ถึงกระนั้นเล้งซานก็ยัง...


"หม่อมชั้นย่อมทราบว่าพระองค์สนพระทัยในเรื่องใด แต่...หม่อมชั้น ย่อมไม่ปริปากพูดอย่างแน่นอน!! ต่อให้พระองค์ทรงสั่งประหาร ก็จะไม่ได้ยินคำตอบของหม่อมชั้นแม้แต่ครึ่งคำ!!" เล้งซาน เริ่มแสดงจุดยืนของตนและกิริยาต่อต้านไม่โอนอ่อนอย่างแจ่มชัด ทำเอาเสวียนอู่เฉินถึงกับขมวดคิ้วแน่น และลุกขึ้นยืนทันที



"บังอาจ!! คำถามของข้า มิต่างจากราชโองการ เจ้าไม่อาจปฏิเสธได้ที่จะไม่ตอบ!!" เสวียนอู่เฉินเริ่มใช้น้ำเสียงขู่คำรามสะกดข่ม กระแสลมปราณสร้างแรงกดดันขึ้นอีกหลายเท่า



เล้งซานทรุดตัวลงอีกครั้งทันที แต่คราวนี้มิใช่การทรุดตัวลงความตั้งใจของมัน แต่เป็นเพราะแรงกดดันอันรุนแรงจนทำให้เล้งซานไม่อาจทรงตัวยืนอยู่ได้!!


เล้งซานเงยหน้าขึ้นเหลือบมองเสวียนอู่เฉิน ระเบิดพลังลมปราณทั่วร่าง กระแสลมปราณชั้นสีเขียวทั่วกายทะยานขึ้นถึงขีดสุด ออร่าลมปราณสีเขียวเปล่งออกมาอย่างแจ่มชัด!! กัดขบฟันแน่นและค่อยๆยืดตัวขึ้นต่อต้านแรงกดดันอันมหาศาลของชนชั้นลมปราณสีส้ม!! ทันทีที่ร่างยืนหยัดได้อย่างสง่า เล้งซานก็สำลอกเลือดออกจากลำคออึกใหญ่ แต่มันก็ฝืนกลืนโลหิตตนเองให้ไหลผ่านลำคอกลับไปโดยสีหน้าไม่แปรเปลี่ยนแม้แต่น้อย



แววตาของเสวียนอู่เฉิน ขุ่นมัวชั่วขณะหนึ่งด้วยความตกตะลึงเล็กน้อย ภายใต้แรงกดดันมหาศาลของมัน ต่อให้ชนชั้นลมปราณสีเหลืองขั้นสูง ยังมิอาจยืนประจันหน้ากับมันได้โดยไร้อาการสั่นเทา แต่นี่!! เด็กหนุ่มวัย 16 ปี ชนชั้นลมปราณสีเขียวขั้นต้น กลับสามารถยืนประสานสายตากับมันได้ด้วยทวงท่าสง่างามไม่ไหวติง และสีหน้าไม่แปรเปลี่ยนไปเลยแม้แต่นิดเดียว!!



"เจ้า!!" 


เสวียนอู่เฉินสบถขึ้นด้วยพยางค์เดียว แต่ก็นึกคำกล่าวไม่ออกอีกต่อไปด้วยความตื่นตะลึง



"ฝ่าบาท การที่พระองค์จะกดดันหม่อนชั้นต่อไปเช่นนี้ ย่อมมิอาจเกิดประโยชน์อันใดแก่พวกเราทั้งสอง เพราะแม้หม่อมชั้นจะตกตาย ณ ท้องพระโรงแห่งนี้ ก็จะขอยืนยันคำเดิม ว่าหม่อนชั้นจะไม่ตอบคำถามของพระองค์แม้แต่ครึ่งคำ ตราบใดที่ข้ากระหม่อมยังไม่ได้สิ่งแลกเปลี่ยนที่สมควรแก่การเอ่ยไป"



 เล้งซานประสานสายตากับเสวียนอู่เฉินโดยมิหลบเลี่ยง มันคำนวนไว้ก่อนจะรับราชโองการแล้วว่าต้องเกิดเหตุการณ์เช่นนี้ เล้งซานเลือกตัดสินใจที่จะต่อต้านถึงที่สุดเพื่อให้มันได้รับผลประโยชน์ร่วมกัน และแสดงจุดยืนของตนให้องค์จักรพรรดิ์ได้ประจักษ์แก่สายพระเนตรของพระองค์เอง



"เหตุใดข้าต้องโอนอ่อนตามคำพูดของเจ้า!! ข้าคือจักรพรรดิ์ที่ครอบครองทวีปเต่าทมิฬแห่งนี้"



"เรียนฝ่าบาท แม้ข้ากระหม่อมจะต่อต้านพระองค์ในเรื่องนี้ แต่นั่นก็มิได้แสดงออกว่าหม่อนชั้นเป็นศัตรูกับพระองค์ หม่อมชั้นพร้อมที่จะรับใช้ราชวงศ์เสวียนอู่ของพระองค์ แต่ต้องอยู่ภายใต้เงื่อนไขที่หม่อมชั้นตั้งปฏิธานเอาไว้ด้วยเช่นกัน!! หากไม่แล้ว แม้พระองค์จะสั่งประหารหม่อนชั้น หม่อนชั้นก็จะกระทำเพียงแค่ต่อต้านอย่างถึงที่สุด"



เสวียนอู่เฉิน อึ้งไปชั่วขณะ ในครั้งแรกที่เห็นรายงานเกี่ยวกับเล้งซาน มันคิดว่าเป็นเรื่องง่ายมากที่จะควบคุมเด็กหนุ่มผู้เยาว์ผู้หนึ่ง แต่ในวันนี้มันกระจ่างชัดแล้วว่า มันคิดผิดมหันต์!! เด็กหนุ่มผู้นี้มีจุดยืนของอย่างชัดเจน!! หากเสวียนอู่เฉินใช้ไม้แข็งกับมัน ก็เท่ากับบีบคั้นให้มันเป็นศัตรู!! และอาจโอนเอนเข้าร่วมกับขุมกำลังอื่นได้ทุกเมื่อ!! ทางเดียวที่จะรั้งคนประเภทนี้ได้นั้น มีเพียงหนทางเดียว คือต้องมีหนี้บุญคุณให้แก่เท่านั้น



"เจ้า ต้องการอะไร?" เสวียนอู่เฉินค่อยๆสงบสติและกล่าวถาม



"หม่อมชั้นขอพบตระกูลลี้ลับ"



"ไม่ทีทาง!!" 


เสวียนอู่เฉินตระคอกเสียงที่ดังคำรามมากกว่าเดิม!! ความลับเรื่องตระกูลลี้ลับนี้อาจส่งผลต่อความมั่นคงของราชวงศ์!! มันผู้เป็นองค์จักรพรรดิ์ของราชวงศ์ จะนำความลับมาเสี่ยงกับเด็กหนุ่มวัย 16 นี้ได้เยี่ยงไร?



แต่ท่าทีขององค์จักรพรรดิ์ก็ในการคาดเดาของเล้งซานอยู่แล้ว เล้งซานไม่กล่าวสิ่งใดต่อ มันหลับตาลงช้าๆพลางประสานพลังลมปราณทั่วทั้งร่าง กระแสลมปราณหมุนวนรอบกายของเล้งซานในชั่วขณะหนึ่ง



"มังกรมายา!!"



ทันใดนั้นเอง สิ่งที่เสวียนอู่เฉินสัมผัสได้ก็คือ บรรยากาศรอบท้องพระโรงบิดเบี้ยวขึ้นโดยฉับพลัน ก่อนจะมีมังกรตัวมหึมา ออกจากเบื้องหลังของเล้งซาน ขนาดของมันใหญ่โตมหาศาลถึงขั้นทำให้ท้องพระโรงที่สามารถจุผู้คนได้นับพันดูคับแคบลงไปถนัดตา!!



ก๊าซซซ!!


เสียงมังกรขู่คำรามจนทำให้ท้องพระโรงสั่นสะเทือน แววตาดุดันสีแดงฉานของพญามังกรจับจ้องมายังเสวียนอู่เฉิน จากนั้นร่างขนาดใหญ่มหึมาของมังกรค่อยๆแตกสลายกลายเป็นกลุ่มควัน และปรากฏตราสัญลักษณ์ขนาดใหญ่สีฟ้าเปล่งแสงเรืองรองอยู่เหนือศีรษะของเล้งซาน มันคือสัญลักษณ์ประจำตระกูลเล้งในอดีต!!



เสวียนอู่เฉิน ยืนแข็งค้างราวกับถูกน้ำแข็งพันปีแช่ไว้ พระเนตรสั่นไหวด้วยความตื่นตระหนก ด้วยประสบการณ์และระดับชั้นลมปราณที่สูงล้ำ มันมองออกตั้งแต่อึดใจแรกแล้วว่าภาพที่ปรากฏเหล่านี้ล้วนเป็นเพียงภาพมายาที่เล้งซานสร้างขึ้น 


แต่!! แม้เสาะหาทั่วทั้งโลกจะมีพรรคใดกันที่สร้างภาพมายามังกรขนาดมหึมาได้ในชั่วอึดใจเดียวเยี่ยงนี้!! 


มันย่อมเคยอ่านจากบันทึกประวัติราชวงศ์แล้วว่า วิชาสร้างภาพมายาที่อยู่บนจุดสูงสุดของโลกมนุษย์แห่งนี้นั่นคือ กระบวนท่ามังกรมายา ของตระกูลเล้ง!! สามารถสะกดข่มศัตรูนับพันเบื้องหน้าในชั่วอึดใจเดียว อีกทั้งตราสัญลักษณ์ประจำตระกูลเล้งนั้น ไม่เคยปรากฏออกมานับพันปี!! จนถูกลืมเลือนออกจากความทรงจำผู้คนไปแล้วจนหมดสิ้น มีเพียงบันทึกนับพันปีของราชวงศ์ หรือขุมอำนาจเก่าแก่เท่านั้น ที่จะจดบันทึกตราสัญลักษณ์ของตระกูลที่ล้มสลายไปแล้ว แม้ในบันทึกของพรรคป้อมอัคคี ยังไม่มีปรากฏตราสัญลักษณ์ที่เป็นเรื่องยิบย่อยไร้สาระเช่นนี้ลงในบันทึก



เล้งซาน ประสานมือโค้งตังให้แก่เสวียนอู่เฉิน พลางกล่าว


"หม่อมชั้นจะมิตอบคำถามใดๆแก่พระองค์ทั้งสิ้น จนกว่าหม่อมชั้นจะสามารถเจอคนในตระกูลลี้ลับ" เล้งซานกล่าวขึ้นพร้อม มุมปากที่เชิดขึ้นเล็กน้อย ยืนยันคำกล่าวเดิมด้วยความเชื่อมั่นที่สูงล้ำ



เสวียนอู่เฉิน จ้องมองเล้งซานด้วยแววตาที่ไม่สามารถอธิบาย กระบวนท่าและภาพมายาเมื่อครู่ ทำให้เสวียนอู่เฉิน ไม่อาจปฏิเสธได้เลยว่าเล้งซานไม่มีความสัมพันธ์ที่ความเกี่ยวข้องกับตระกูลเล้งในอดีต แต่ก็มิอาจไตร่ถามสิ่งใดกับเล้งซานได้เช่นกัน นอกเสียจากจะรับข้อเสนอของเด็กหนุ่ม



เสวียนอู่เฉินนั่งลงบนบัลลังก์พลางกุมขมับ มันผู้เป็นจักรพรรดิ์ไร้หนทางใดๆมาต่อรองกับผู้เยาว์ผู้นี้ ทั่วทวีปมันสามารถบังคับผู้คนได้หลายร้อยล้านคน แต่กลับมิอาจบังคับเด็กหนุ่มวัย 16 คนหนึ่งได้ การสั่งประหาร หรือจะสังหารเล้งซานด้วยตนเองนั้นง่ายราวกับพลิกฝ่ามือ แต่การทำเช่นนั้นเท่ากับว่ามันเมินเฉยความเกี่ยวพันต่อโอกาสที่จะดึงตระกูลเล้งที่ทรงพลังในอดีตมาเข้าร่วม



"เฮ้อออ~ ไม่อยากจะเชื่อว่าเจ้าอายุเพียง 16 ปี" เสวียนอู่เฉินถอนหายใจอย่างหนักหน่วง



"ตกลง! ข้าจะให้เจ้าเข้าพบตระกูลลี้ลับ แต่เจ้าหลังจากที่เจ้า และพรรคมังกรฟ้าของเจ้าเข้าร่วมราชวงศ์เสวียนอู่ อย่างเป็นทางการแล้วเท่านั้น"



เล้งซานเบิกตากว้างขึ้นเล็กน้อย และรีบประสานมือขึ้นทันที


"ขอบพระทัยฝ่าบาท"



"วันนี้เจ้าไปพักได้ ข้าอนุญาตให้เจ้าเข้าพักภายในเขตพระราชวังด้านนอก ข้าจะบอกกงกงให้จัดหาที่พักให้แก่เจ้า พิธีรับตำแหน่งเข้าร่วมกับราชวงศ์จะถูกจัดขึ้นในอีก 7 วันหลังจากนี้ หลังจากนั้นเราค่อยมาคุยเรื่องนี้กันต่อ 


เจ้าออกไปได้แล้ว และเรียกกงกงมาพอข้า"



"เช่นนั้น หม่อมชั้นขอทูลลา" กล่าวจบเล้งซานก็เดินออกจากท้องพระโรงทันทีด้วยใบหน้าที่เปื้อนยิ้ม และเรียกกงกงเข้าพบตามคำสั่งขององค์จักรพรรดิ์



เสวียนอู่เฉิน จ้องมองเล้งซานที่เดินออกไปตาไม่กระพริบ ก่อนจะถอนหายใจอย่างแผ่วเบา...




ตอนที่ 102 : หอคอยสุสานเทพอสูร



กงกงหลิวเป็นหัวหน้าผู้อาวุโสของเหล่าขันทีนับพันในพระราชวัง มีหน้าที่เฝ้าท้องพระโรง และยังเป็นคนเลือกอนุญาตว่าจะให้ผู้ใดเข้าพบองค์จักรพรรดิ์ เป็นหนึ่งในไม่กี่คนที่ถูกนับว่าคนเป็นสนิทชิดเชื้อและเป็นที่ไว้วางพระทัยขององค์จักรพรรดิ์ และยังเป็นหนึ่งใน 5 คน ในเมืองหลวงแห่งนี้ ที่จักรพรรดิ์ไว้วางพระทัยถึงขั้นให้มันรับรู้ถึงตัวตนของตระกูลลี้ลับ



"เป็นอย่างไรบ้าง ฝ่าบาท" กงกงหลิว ประสานมือขึ้น เบื้องหน้าเสวียนอู่เฉิน



"เฮ้อ... ข้ามั่นใจกว่า 7 ใน 10 ส่วน ว่ามันเป็นคนของตระกูลเล้งในอดีต ทั้งกระบวนท่าวิชา ทั้งสัญลักษณ์ประจำตระกูลเล้ง มันสามารถแสดงออกมาชี้ตัวตนของมันอย่างชัดเจน แต่ถึงกระนั้นข้าก็ไม่สามารถคาดเดาความคิดอ่านของเจ้าเด็กนี่ได้เลยแม้แต่น้อย เจ้าอาจมองว่ามันเป็นเพียงลูกไก่ในกำมือข้า แต่ในความจริงข้าไม่สามารถจะบีบมันได้ด้วยสองมือเสียด้วยซ้ำ กลับเป็นข้าซะอีกที่ถูกชักจูงเข้าสู่ความต้องการของมันอย่างไม่อาจปฏิเสธ" เสวียนอู่เฉินทอดถอนหายใจอีกครั้ง พลางส่ายหน้าเบาๆอย่างอ่อนใจ



"ร้ายกาจถึงเพียงนั้น?" กงกงหลิว ขมวดคิ้วลงต่ำ



"เหอะ! มากกว่าที่เจ้าคิดซะอีก สายตาของมันบ่งบอกถึงความทะเยอทะยาน และความเชื่อมั่นอย่างแจ่มชัด แม้ความตายก็ไม่อาจฉุดรั้งความเชื่อมั่นของมัน ต่อให้เป็นข้าก็มิอาจควบคุมมันได้"



"หากมันเป็นตัวอันตรายถึงเพียงนั้นเหตุใดพระองค์ไม่ทรง..."



"ไม่ได้ ไม่ได้ ถึงมันจะดูเป็นเช่นนั้น แต่อีกไม่เกินสิบปีมันจะมีอิทธิพลในระดับที่เราไม่สามารถคาดเดาได้เป็นแน่ ดูจากความสามารถของมันที่ยึดครองพรรคใหญ่มานับพันปีทางทิศเหนืออย่างป้อมอัคคี ด้วยวัยเพียงแค่นี้ อีกทั้งยังใช้เวลาเพียงข้ามปีเท่านั้น!! ดังนั้นการให้มันเจ้าร่วมกับราชวงศ์ในยามนี้จึงจะเป็นการดี และได้ประโยชน์สูงสุด"



"พระองค์มิทรงคิดว่าตั้งความหวังกับเด็กหนุ่มนั่นมากไปหรือ?"



"หึหึ สิ่งที่ข้าไม่เป็นรองผู้ใดไม่ใช้แค่เฉพาะพลังฝีมือ แต่รวมถึงสายตาของข้า ที่ไม่เคยดูคนพลาด" เสวียนอู่เฉิน ฉีกยิ้มขึ้นที่มุมปาก




........



ทางด้านเล้งซาน ก็เดินออกจากเขตท้องพระโรงพร้อมกับเสวียนอู่จิงฉาน เพื่อรอเวลาให้กงกงหลิว เรียกตัวไปยังที่พัก จึงนั่งสนทนากับเสวียนอู่จิงฉานที่บริเวณสวนหย่อมด้านในเขตพระราชฐาน



"เมื่อครู่เกิดอะไรขึ้นกันแน่ ข้ารับรู้ได้ถึงแรงกดดันอันมหาศาลขององค์จักรพรรดิ์ เล็ดรอดออกมาจากท้องพระโรง นี่ข้ายังขนลุกไม่หายเลย นึกว่าเจ้าจะถูกองค์จักรพรรดิ์บีบตายคามือแล้วซะอีก" เสวียนอู่จิงฉานกล่าวพลางปาดเหงื่อที่ผุดขึ้นมาบนหน้าผากของมัน



"ไม่มีอะไรมาก ข้าเพียงแค่ต่อรองกับพระองค์นิดหน่อย ทำให้ขัดพระทัยของฝ่าบาท" เล้งซานกล่าวด้วยสีหน้าไม่ยี่หระ



"ต่อรองกับฝ่าบาท! นี่เจ้าบ้าไปแล้วหรือ!!" เสวียนอู่จิงฉานเบิกตากว้างขึ้นทันที ลุกยืนพรวดพราดด้วยความตกใจ



"อืม...ข้าแค่ขอพบตระกูลลี้ลับเป็นเงื่อนไขต่อรอง แต่ฝ่าบาท ก็ทรงตอบตกลงแล้วนะ" เล้งซานฉีกยิ้มกว้าง



เสวียนอู่จิงฉาน หน้าซีดเผือด เผลอเดินถลาถอยหลังไปสองสามก้าว ก่อนจะสะดุดขาของตนเองล้มลง ก้นจ้ำเบ้า กายสั่นสะท้านก่อนจะยกนิ้วที่สั่นเครือชี้มาทางเล้งซาน



"จะ...เจ้า ไปตกลงอะไรกับองค์จักรพรรดิ์กันแน่!! ขอ..ขอพบตระกูลลี้ลับอย่างนั้นหรือ บ้าไปแล้ว!! จะเป็นได้อย่างไรกัน!! เจ้าไม่ถูกประหารทันทีที่เอ่ยปากก็เรียกว่าปาฏิหาริย์แล้ว ซ้ำเจ้า!! ยังบอกว่าฝ่าบาททรงอนุญาตอย่างนั้นหรือ!!"


เสวียนอู่จิงฉาน แทบจะพูดตะกุกตะกักไม่เป็นศัพท์ แสดงใบหน้าปั้นยากบิ้ดเบี้ยวอย่างลืมตัว มันลืมไปกระทั่งว่ามันสะดุดล้มก้นจ้ำเบ้าไปเมื่อครู่นี้



ทันใดนั้นเอง ก็มีทหารผู้หนึ่งวิ่งเข้ามา


"ท่านกงกงหลิว มีคำสั่ง เรียกตัวเล้งซานไปยังที่พัก"



"ข้าทราบแล้ว ขอบคุณท่านที่มาแจ้งข่าว" เล้งซานประสานมือให้แก่ทหารยามผู้นั้น ก่อนจะเดินมาใกล้ๆเสวียนอู่จิงฉาน ที่นั่งตื่นตะลึงอยู่บนพื้น



"ต้องขออภัยอาวุโสเสวียนอู่ ที่ข้าไม่สามารถแพร่งพรายเรื่องที่ข้าสนทนากับฝ่าบาทได้ ข้าขอตัวก่อน" กล่าวจบเล้งซาน ก็หันหลังเดินตามทหารยามผู้นั้นไปทันที ทิ้งให้เสวียนอู่จิงฉาน นั่งงงงวยอยู่บนพื้นในสวน...



"เจ้าเด็กโง่!! เจ้าไปบอกมันทำไมว่าจักรพรรดิ์ อนุญาตให้เจ้าพบตระกูลลี้ลับ เกิดมันเอาเรื่องนี้ไปแพร่งพราย เจ้าจะไม่แย่หรือไง" เสียงของเฟรย่าดังขึ้นในจิตใต้สำนึก



"แย่? มีอะไรทำให้แย่กัน? เกิดมันไปบอกคนอื่น จักรพรรดิ์ย่อมต้องเอาผิดมัน ไม่ใช่ข้า อีกอย่างถึงมันบอกคนอื่นแล้วยังไง? ข้าไม่เดือดร้อนอะไรอยู่แล้ว ดีซะอีกการที่มีผู้อื่นรู้ ว่าข้ารู้ตัวตนของตระกูลลี้ลับมีแต่จะทำให้ข้าโด่งดังขึ้นไปทั่วเมืองหลวงในชั่วข้ามคืน" เล้งซานแสยะยิ้มออกมา



"ถ้าเช่นนั้น เจ้าจะบอกมันเพื่ออะไร?" เฟรย่ากล่าวถาม



"ข้าแค่ชอบดูอาการของอาวุโสเสวียนอู่ยามที่มันตื่นตกใจ ข้าว่ามันตลกดี" 


เล้งซาน เดินตามทหารยามไปพลาง ขบขันไปพลาง




กงกงหลิว พาเล้งซานมายังห้องพักหรูหรา นอกเขตพระราชฐานส่วนพระองค์ สถานที่นี้เดิมทีใช้รองรับแขกต่างเมืองที่จะเข้าเฝ้าองค์จักรพรรดิ์ในงานพิธีสำคัญต่างๆ



"ผู้เยาว์ขอบคุณท่านกงกง ที่เป็นธุระจัดหาให้ผู้เยาว์" เล้งซานประสานมือ คำนับกงกงอย่างอ่อนน้อม



"เป็นรับสั่งของฝ่าบาท ย่อมเป็นหน้าที่ของข้า เจ้าสามารถเข้าออกที่นี่ได้ตามสะดวก ส่วนนี่เป็นเป็นตราอนุญาต หากมีเกิดปัญหาจงแสดงสิ่งนี้ เพื่อยืนยันตัวตน มิเช่นนั้นเจ้าอาจถูกทหารเข้าใจผิดได้ว่าลักลอบเข้าวัง" กงกงหลิว ยื่นป้ายทอง ให้แก่เล้งซาน



เล้งซานหยิบป้ายเก็บไว้ทันที


"ท่านกงกง ผู้เยาว์มีข้อสงสัยเล็กน้อย มิทราบว่าท่านพอจะช่วงแถลงให้ผู้เยาว์รับทราบได้บ้างหรือไม่?"



"สงสัยสิ่งใด?"



"เมื่อครู่ก่อนเข้าสู่เขตพระราชวัง ผู้เยาว์เห็นหอคอยใหญ่โตที่อยู่ในทิศตะวันออกของเมืองฟ้าทมิฬ ไม่ทราบว่าสถานที่นั้นคืออะไร"



"นั่นคือหอคอยสุสานเทพอสูร เป็นหอคอยที่มีอายุมากกว่าหมื่นปี หอคอยแห่งนี้มีมาก่อนประวัติศาสตร์ของมนุษย์เราเสียอีก ว่ากันว่ามันถูกสร้างขึ้นตั้งแต่ยุคสมัยบรรพกาลที่สัตว์เทพอสูรทั้ง 4 ครองโลก หอคอยสุสานเทพอสูรนั้นมีด้วยกัน 4 แห่ง และหอคอยทั้งหมดต่างเป็นตำแหน่งเมืองหลวงของทวีปเหล่านั้น


หอคอยที่นี่คือหอคอยสุสานเทพเต่าดำ แห่งราชวงศ์เสวียนอู่ อีกสามแห่งคือ หอคอยสุสานเทพมังกรฟ้า ของราชวงศ์ชิงหลง หอคอยสุสานเทพหงสาเพลิง ของราชวงศ์จูเชว่ และหอคอยสุสานเทพพยัคฆ์ขาว ของราชวงศ์ไป่หู่ ทั้งสี่หอคอยคือโบราณสถานที่เก่าแก่ที่สุดบนโลกมนุษย์แห่งนี้" กงกงหลิวเล่ากล่าวประวัติ



เล้งซานนิ่งไปครู่หนึ่ง ก่อนหน้านี้ในยุคสมัยของตระกูลเล้ง มันเคยได้ยินชื่อของหอคอยสุสานเทพอสูรอยู่บ้าง แต่ก็มิเคยมาเห็นหอคอยกับตาด้วยตนเอง เคยเพียงแค่อ่านบันทึกคร่าวๆเท่านั้น



"ท่านกงกง แล้วที่นี่ได้สั่งห้ามผู้ใดเข้าไปยังหอคอยหรือไม่?" เล้งซานถามต่อ



"ย่อมไม่มีใครห้าม หอคอยสุสานเทพเต่าดำนี้ ใครก็สามารถเข้าไปได้ เพียงแต่เมื่อเข้าไปแล้วเจ้าจะสามารถอดทนอยู่ด้านในได้ซักเท่าใดกัน? แต่ต่อให้เจ้าอดทนได้ก็เถอะเมื่อครบ 3 วัน หอคอยแห่งนี้จะผลักเจ้าออกมาด้านนอกด้วยตัวของมันเอง และเจ้าจะไม่สามารถเข้าไปในนั้นได้อีกเป็นระยะเวลา 1 ปี มันเป็นกฎของหอคอยเทพอสูรทุกแห่ง"



"1 ปี? เหตุใดถึงนานขนาดนั้น" เล้งซานขมวดคิ้ว เนื่องจากมันเคยอ่านเจอว่าภายในหอคอยสุสานเทพอสูรทุกแห่ง เมื่ออยู่ด้านในจะเพิ่มความเร็วในการบ่มเพาะพลังลมปราณเพิ่มขึ้นอีกหลายสิบเท่า!!



"กฎของหอคอย ไม่มีใครกำหนด ผู้กำหนดคือตัวหอคอยเอง" กงกงหลิว กล่าวจบก็หันหลังเดินจากไป ทิ้งความสงสัยมากมายเอาไว้ให้แก่เล้งซาน



'เจ้ากระเทยเฒ่านี่พูดอะไรของมันฟะ? หอคอยเป็นตัวกำหนด? พูดหยั่งกับว่าหอคอยมันมีชีวิต?'



เล้งซานยืนกอดอกพลางขมวดคิ้วแน่น ใคร่ครวญความจำที่เคยอ่านเจอเกี่ยวกับหอคอยสุสานเทพอสูร...



103


ตอนที่ 103 : ชายชราลึกลับ

 


เนื่องจากเดินทางมาไกลร่วมเดือน แม้ได้นอนพักตามโรงเตี๊ยมบ่อยๆแต่ก็ไม่อาจเรียกได้ว่าพักผ่อนอย่างสนิทใจ ครั้งนี้จึงเป็นโอกาสที่จะได้พักผ่อนอย่างเต็มที่ เพื่อรอการแต่งตั้งรับตำแหน่งในอีก 7 วันข้างหน้า เล้งซานนอนครุ่นคิดถึงการเข้าไปยังหอคอยสุสานเทพอสูรอยู่บ้าง แต่ก็เลือกที่จะไม่รีบร้อน เพราะสามารถเข้าไปเมื่อใดก็ได้ จึงสมควรหาข้อมูลมากกว่านี้ก่อน หากพลาดโอกาสหนึ่งแล้วละก็ มันจำต้องรออีกร่วมปี จึงจะมีโอกาสที่สอง



เล้งซานทิ้งตัวลงบนเตียงผ่อนคลายภายในห้องรับรองที่หรูหราของราชวงศ์ เลิกครุ่นคิดเรื่องต่างๆเพื่อพักผ่อน ด้วยสมาธิที่เป็นเลิศเพียงไม่ถึงสิบอึดใจเล้งซานก็เข้าสู่การหลับใหล แต่ก็ไม่ลืมที่จะเปิดสัมผัสแห่งมังกรตลอดเวลา



กลางดึกคืนนั้น ขณะที่เล้งซานเข้าสู่ภวังค์แห่งการหลับไหล จู่ๆเล้งซานก็เบิกตาโพลงขึ้น อย่างกระทันหัน แต่กระแสลมปราณของมันก็ยังไม่เปลี่ยนแปลงหรือสั่นไหวแม้แต่น้อย เพื่อมิให้เกิดพิรุธ



'ใครกัน? มายืนอยู่หน้าห้อง?'



เล้งซานสัมผัสได้ถึงตัวตนของบุคคลหนึ่ง คล้ายยืนจับการเคลื่อนไหวของเล้งซานอยู่หน้าประตู แต่ด้วยสัมผัสแห่งมังกรที่เฉียบคมของเล้งซานจึงสามารถรับรู้ถึงตัวบุคคลนี้ได้ก่อนที่จะลอบเข้ามา เล้งซานแสร้งหลับตาต่อ โดยควบคุมกระแสลมปราณของมันให้ไหลเวียนเชื่องช้าดั่งเช่นยามหลับ



บุคคลผู้นั้น ยืนดูปฏิกิริยาของเล้งซานอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะเปิดประตูและก้าวเข้ามาให้ห้องนี้โดยไม่ปิดบังใดๆ นั่งลงบนเก้าอี้กลางห้องรับรองอย่างช้าๆ พลางกล่าว



"เจ้าจะแสร้งหลับไป อีกนานแค่ไหน? ข้าอุตส่าเผยสัมผัสออกมาเล็กน้อยเพื่อปลุกเจ้าที่หน้าห้อง หากเจ้ายังไม่รู้สึกถึงข้า เราก็ไม่มีความจำเป็นต้องคุยกัน" เสียงของบุคคลผู้นี้ฟังดูชราพอสมควรค่อนข้างชัดเจนว่าเป็นชายชรา แต่น้ำเสียงกับอัดแน่นไปด้วยพลังปราณชั้นสูง แม้สัมผัสมังกรของเล้งซานยังมิแยกแยะกระทั่งระดับชั้นพลังได้!!



เล้งซาน ลุกพรวดขึ้นทันที เมื่อบุคคลผู้นี้รู้ว่ามันแสร้งหลับก็ไม่จำเป็นต้องปิดบังอีกต่อไป เล้งซานเงยหน้าขึ้นมองบุคคลผู้นี่ที่นั่งบนเก้าอี้ห่างจากมันไม่ถึง ห้าเมตร แต่แปลกประหลาดอย่างมาก ที่เล้งซานไม่อาจมองใบหน้าของคนผู้นี้ได้ชัดเจน!! คล้ายว่าบรรยากาศตรงหน้าของชายชราผู้นี้ถูกบิดเบือนด้วยพลังงานบางอย่างจนเกิดเป็นหมอกหนาขึ้นรอบใบหน้า 


เล้งซานที่มีสัมผัสแห่งมังกรแม้ห้องที่มืดสนิท มันก็ยังสามารถมองเห็นได้อย่างแจ่มชัด แต่บรรยากาศแปลกๆรอบกายชายชราผู้นี้ กลับผิดแปลกจนไม่อาจอธิบาย สัมผัสแห่งมังกรที่เล้งซานภาคภูมิใจกลับเหลือพลังไม่ต่างจากสัมผัสทั้งห้าของปถุชนธรรมดา



"ผู้อาวุโส หรือท่านจะเป็นคนจากตระกูลลี้ลับ?" 



เล้งซานยังไม่ทราบถึงตัวตนชนผู้นี้ได้แน่ชัด แต่สิ่งที่มันมั่นใจได้เลยก็คือพลังของชายชราผู้นี้ สามารถฉีกร่างของมันได้ด้วยการสะบัดนิ้วเบาๆเพียงเท่านั้น!! ระดับพลังต้องเป็นชั้นลมปราณสีส้มอย่างแน่นอน และเหนือล้ำเสียยิ่งกว่า เสวียนอู่เฉินหลายขั้น!!



ชายชรามิได้กล่าวตอบแต่อย่างใด มันค่อยๆยกแขนขวาลักษณะคล้ายยื่นมือเข้ามาหาเล้งซาน จากนั้นกระแสลมปราณที่หนาแน่นก่อเกิดเป็นมวลสารบางอย่างออกจากมือของชายชรา กลุ่มก้อนมวลสารนั้นค่อยๆขยายตัวขึ้นเรื่อยๆจนกระทั่ง ปรากฎเป็นมือขนาดใหญ่สีทองอร่าม ขนาดของมือสีทองอร่ามนี้ใหญ่โตกว่าขนาดตัวของเล้งซานเสียอีก!!



"ผู้อาวุโส โปรดออมมือ ข้าว่าเรื่องนี้อาจเป็นการเข้าใจผิดอะไรบางอย่าง" 



เล้งซาน เมื่อเห็นมวลพลังปราณที่อัดแน่นก่อเกิดเป็นมือสีทอง มันรีบบุกพรวดจากเตียงขึ้นมายืนโคจรพลังลมปราณเตรียมพร้อมทันที ยกมือขึ้นประสานฝ่ามือผงกศีรษะโค้งตัวอย่างนอบน้อม มันยังไม่ทราบแม้แต่น้อยว่าชายชราผู้นี้เป็นใคร แต่ที่แน่ๆชายชราผู้นี้แข็งแกร่งเกินกว่าจะต้านทานหรือหลบหนี!! ทางเดียวคือมันจำเป็นต้องใช้วาจาผ่อนปรนเท่านั้น



ความหนาแน่นของลมปราณหัตถ์ทองคำนี้ แทบไม่แต่ต่างจากความหนาแน่นของลมปราณในวิชาเงาอสูรเพลิง ของเล้งซานแม้แต่น้อย!! เล้งซานย่อมรับรู้ได้ถึงความร้ายกาจของเคล็ดวิชาตั้งแต่แรกเห็น อีกทั้งเคล็ดวิชาที่ทรงพลังนี้ยังถูกใช้ขึ้นโดยชนชั้นลมปราณสีส้ม!! หัตถ์ทองคำย่อมสามารถบดขยี้หินผาได้ราวกับเต้าหู้เป็นแน่!!



"อย่าได้กังวลไปนักสิ เจ้าหนู หากข้าต้องการทำร้ายเจ้า เจ้าย่อมตกตายไปตั้งแต่ในฝันแล้ว" ชายชรากล่าวขึ้น จากนั้นหัตถ์ทองคำขนาดใหญ่ที่มันสร้างขึ้นก็พุ่งเข้าไปด้วยความเร็วเท่าสายตาตรงมายังเล้งซาน!!



เล้งซานเบิกตากว้างขึ้นชั่วขณะ เปิดใช้วิญญาณมังกรฉากหลบไปได้อย่างเฉียดฉิว แต่เพียงครึ่งอึดใจ หัตถ์ทองคำนี้ก็หักเปลี่ยนทิศทางตรงมายังเล้งซานอีกครั้งโดยที่มันยังไม่ทันได้ตั้งหลัก โอบคว้าท่อนล่างของเล้งซานตั้งแต่เอวลงไปให้เข้าไปอยู่ในกำมือได้อย่างง่ายดาย



"บัดซบ!! อ๊ากก!!"



แม้ไม่ใช่แรงบีบที่มากพอจะบดขยี้ร่างของเด็กหนุ่ม แต่ก็หยุดการเคลื่อนไหวของเล้งซานได้อย่างสมบูรณ์ ด้วยพลังกล้ามเนื้อแห่งมังกรของเล้งซานยังไม่อาจง้างนิ้วมือขนาดใหญ่ของหัตถ์ทองคำนี้ได้แม้แต่นิ้วเดียว!!



"ผู้อาวุโส ท่านต้องการสิ่งใดกันแน่!!"



ไม่มีคำตอบใดๆจากชายชรา มีเพียงกระแสลมปราณสายหนึ่งจากหัตถ์ทองคำแทรกซึมเข้าไปในร่างของเล้งซานอย่างไม่อาจต่อต้าน กระแสพลังสีทองสายนี้ทะลวงผ่านเส้นลมปราณต่างๆของเล้งซานได้อย่างง่ายดาย แต่ก็มิได้ทำร้ายร่างกายหรือเส้นลมปราณของเล้งซานแม้แต่น้อย คล้ายว่าเป็นการตรวจสอบร่างกายของเด็กหนุ่มเท่านั้น


เล้งซานสามารถรับรู้ได้ แต่ไม่อาจที่จะต่อต้านได้!!


เมื่อไม่อาจเห็นใบหน้าของชายชราจึงไม่อาจรู้ได้ว่ามันแสดงสีหน้าอย่างไร ชายชรานิ่งไปอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะกล่าว



"เส้นลมปราณช่างพิเศษนัก แตกต่างจากคนทั่วไปอย่างสิ้นเชิง พลังในการบ่มเพาะและควบคุมลมปราณก็เรียกได้ว่าอยู่ระดับสูงสุดที่มนุษย์จะบรรลุได้ ไม่น่าเชื่อว่าเจ้าเป็นเพียงเด็กหนุ่มอายุแค่ 16 ปี ข้าไม่เคยเห็นใครบรรลุได้ถึงขั้นนี้ด้วยวัยต่ำกว่า 50 ปีเลยแม้แต่คนเดียว ช่างเป็นอัจฉริยะที่เกินกว่าสามัญสำนึกโดยแท้ อีกทั้งยังมีร่างกายที่พิเศษมีพลังอีกหนึ่งสายคล้ายพลังของสัตว์อสูรโบราณ นี่เจ้าเป็นใครกันแน่?"



เล้งซานฝืนดิ้นอยู่ครู่ใหญ่แต่ก็ไม่เป็นผล มันเหลือบมองชายชราด้วยแววตาเปี่ยมโทสะ นัยน์ตาแดงฉานจากเส้นเลือดฝอย แม้รู้ตัวว่าไม่อาจเอาชนะ แต่คนทิฐิสูงเยี่ยงเล้งซานหรือจะยอมให้ผู้ใดมาหยอกล้อมันเหมือนเด็กทารกเช่นนี้!!



"ท่านกล้าถามข้าหรอว่าข้าเป็นใคร นับว่าท่านโง่เง่ากว่าที่คิด ข้าชื่อเล้งซาน ผู้นำพรรคมังกรฟ้า!!"


การตอบคำถามที่เหมือนไม่ได้ตอบของเล้งซาน ย่อมสร้างขุ่นเคืองไม่มากก็น้อยให้กับชายชราลึกลับ มันจึงออกแรงบีบเพิ่มขึ้นอีกเล็กน้อยเพื่อกระตุ้นเล้งซาน แต่การทำเช่นนี้สำหรับเล้งซานแล้ว ย่อมได้ผลตรงกันข้ามอย่างแน่นอน!!



เล้งซานระเบิดพลังปราณทะยานขึ้นสู่จุดสูงสุดทั่วร่าง ทั่วสรรพางค์กายห่อหุ้มเปลวอัคคีสีฟ้าโหมกระหน่ำลุกโชน เปิดมิติเอาลูกแก้วดวงจิตอสูรออกมาสองเม็ด กัดลิ้นตนเองพ่นโลหิตเข้าหลอมรวม วาดอักขระร่างกายที่แขนทั้งสองข้าง จากนั้นกระชากสะบัดด้วยเรี่ยวแรงมหาศาลกว่าเดิมหลายสิบเท่า!! ฉีกหัตถ์ทองคำออกเป็นชิ้นๆทันที!!



ในทันทีที่เท้าทั้งสองข้างสัมผัสพื้น เล้งซานก็ระเบิดพลังจากอักขระปลอกขาเต็มพลัง เสริมเข้าด้วยวิญญาณมังกรพุ่งเข้าใส่ชายชราในระยะห่างแค่ 5 เมตรด้วยความเร็วเทียบเท่าประกายแสง



"เทพพิโรธถล่มฟ้า!!"


เคล็ดวิชาเทพพลังของเผ่าเทพระเบิดออกจากฝ่ามือทั้งสองข้าง ด้วยชั้นลมปราณสีเขียวในขณะนี้ของเล้งซาน ความรุนแรงของวิชานี้จึงมากกว่าครั้งไหนๆหลายเท่าตัว!! ห้องรับรองที่หรูหรา สั่นสะเทือนทั้งหมด เครื่องเรือนราคาแพงภายในห้องแหลกละเอียดไม่มีชิ้นดีจากกระแสหมุนวนของพลังปราณมหาศาล และชั้นบรรยากาศที่บิดเบี้ยว



ตูมมมมมมม



เสียงปะทะดังสนั่นหวั่นไหวไปทั่วบริเวณ แต่!!


พลังมหาศาลที่กล่าวมาเมื่อครู่นั้น ถูกหยุดด้วยฝ่ามือที่แห้งเหี่ยวดูไร้เรี่ยวแรงของชายชรา!! 


หยุดสถาวะทั้งหมดของเทพพิโรธไว้ในฝ่ามือโดยสมบูรณ์!!



"ฮ่าๆ ช่างเยี่ยมยอดเกินกว่าคำร่ำลือ!! ไม่คิดว่าชนชั้นลมปราณสีเขียวขั้นต้นอย่างเจ้า จะระเบิดพลังมหาศาลได้เทียบเท่าชนชั้นลมปราณสีเหลืองขั้นกลางเช่นนี้!! 


ข้าตัดสินใจแล้ว อีก 7 วันก่อนจะถึงวันรับตำแหน่งของเจ้า ข้าจะให้เจ้าเลือกระหว่างรับใช้เป็นเบี้ยล่างของราชวงศ์เสวียนอู่นี่ หรือจะมาเป็นศิษย์สืบทอดของข้า จี้กงหยุน!!"



ชายชราระเบิดเสียงหัวเราะออกมาพลางประกาศชื่อของตน จากนั้นก็สะบัดมือเบาๆ ก็หอบร่างของเล้งซานปลิวตามข้อมือ กระแทกเข้ากับฝนังของห้องรับรอง



จากนั้นชายชรา ก็ยกมือขึ้นสูงระเบิดพลังลมปราณมหาศาลของชนชั้นลมปราณสีส้ม พวยพุ่งขึ้นด้านบนทันที



ตูมมมมม



หลังคาห้องรับรองระเบิดออกแหลกละเอียด แต่ไม่มีเศษชิ้นส่วนใดตกลงบนพื้นแม้แต่ชิ้นเดียว!! ถูกพลังมหาศาลอัดกระแทกพัดลอยละล่องออกไปไกลหลายกิโลเมตร เล้งซานค่อยๆพยุงร่างของมันยืนขึ้นก่อนจะเหลือบมองขึ้นบนฟ้า เจอแสงดาราระยิบระยับเต็มฝากฟ้ายามค่ำคืน และเมื่อชำเรืองมองโดยรอบก็สังเกตเห็นว่า ไม่ใช่เพียงแค่หลังคาห้องรับรองเท่านั้น แต่บัดนี้ห้องรับรองที่เรียงติดกันสามหลังหายไปจากพื้นที่แล้ว!! 


ถูกพลังที่ระเบิดออกเมื่อครู่บดทำลายจนไม่เหลือแม้แต่เศษซาก หากเปรียบเทียบกับความรุนแรงของเทพพิโรธถล่มฟ้าของเล้งซาน เทพพิโรธ มิอาจเทียบได้แม้กระทั่ง 1 ใน 10 ส่วน!!



"เจ้าหนูเล้งซาน อีก 7 วัน ข้าจะมาฟังคำตอบของเจ้า..." 


เสียงของชายชรา ดังออกมาตามสายลม บัดนี้ร่างของชายชราเมื่อครู่ไม่มีอยู่อีกต่อไปแล้ว หายไปชนิดที่ว่าสัมผัสมังกรของเล้งซานยังมิอาจจับการเคลื่อนไหวได้แม้แต่น้อย...



104



ตอนที่ 104 : จี้กงหยุน



'เจ้าแก่นี่มันเป็นใครกันฟะ!!'


เล้งซานสบถในใจพลางปาดเลือดที่ไหลออกจากมุมปาก



ไม่กี่อึดใจ ก็มีเหล่าทหารยามจำนวนมากกรูเข้ามา ผู้นำของทหารยามเหล่านี้คือ กุยกู่หยาง หัวหน้าทหารฝ่ายใน เป็นผู้ใช้ลมปราณชั้นสีเหลืองขั้นที่ 9 ครึ่งก้าวชนชั้นลมปราณสีส้ม



เมื่อมาถึง กุยกู่หยาง ถึงกับยืนแข็งค้างตื่นตะลึง เรือนรับรองในเขตพระราชวังที่เรียงติดกันสามหลัง ถูกทำลายราบพนาสูญ เศษซากชิ้นส่วนก็แทบไม่หลงเหลือให้เห็น มีเพียงผนังด้านที่เล้งซานพิงเอนอยู่เท่านั้นที่ดูสมบูรณ์คล้ายว่าชายชรา ไม่ต้องการทำร้ายเล้งซานจนถึงขั้นบาดเจ็บสาหัส



"นี่มันเกิดอะไรขึ้น!!" กุยกู่หยางหน้าแดงก่ำเนื่องจากบริเวณนี้เป็นเขตรับผิดชอบของมัน หันเหลือบมองมาทางเล้งซานตาเขม็ง



เล้งซานฝืนพยุงร่างตรง ก่อนจะกล่าว


"เรียนผู้อาวุโส เมื่อครู่มีชายชราคนหนึ่งเข้ามาลอบทำร้ายข้าถึงในห้อง ชายชราผู้นี้มีพลังลมปราณสูงส่ง และสภาพก็เป็นอย่างที่ท่านเห็น" เล้งซานกล่าวตามด้วยอาการหายใจหอบหนัก แม้ชายชราลึกลับจะยั้งมือให้มันอย่างสุดกู่แต่เล้งซานก็บาดเจ็บภายในอยู่พอสมควร



"มันเป็นใคร!!" 


น้ำเสียงที่แฝงพลังลมปราณชั้นสูงดังกังวานขึ้น ก่อนจะมีคนผู้หนึ่งทะยานร่างด้วยวิชาตัวเบาขั้นสูงมาจากด้านหลังกองทหารยาม ลอยข้ามศีรษะของเหล่าทหารนับพันในการเคลื่อนไหวเดียว และค่อยๆร่อนลงเบื้องหน้าเล้งซาน



ทุกคนในบริเวณคุกเข่าลงทันที รวมถึงเล้งซาน



"ถวายบังคมฝ่าบาท"



เสวียนอู่เฉิน มายังบริเวณนี้ด้วยตนเอง เนื่องจากเมื่อครู่มันรับรู้ได้ถึงพลังลมปราณชั้นสูงที่ระเบิดออกมาบริเวณนี้ เสวียนอู่เฉินเหลือบมองสภาพอาณาบริเวณโดยรอบ และชายตามองเล้งซานที่สภาพย่ำแย่พอสมควร



เล้งซานประสานมือขึ้น ก่อนจะกล่าวต่อ


"ทูลฝ่าบาท ข้าไม่อาจเห็นใบหน้าของคนผู้นี้ได้ชัด แต่จากน้ำเสียงคาดว่าจะเป็นชายชราผู้หนึ่ง และได้แจ้งนามไว้ด้วยว่า จี้กงหยุน"



เสวียนอู่เฉินเมื่อได้ยินชื่อ 'จี้กงหยุน' ก็เบิกตาขึ้นชั่วขณะไม่เกินครึ่งอึดใจ จากนั้นก็ปรับเปลี่ยนสีหน้าสู่สภาวะปรกติ แต่การแสดงสีหน้าชั่วพริบตานี้ย่อมมิอาจหลุดรอดสัมผัสแห่งมังกรของเล้งซาน



"ไม่ทราบว่า ฝ่าบาทรู้จักหรือไม่?" เล้งซานกล่าวจี้ถาม



เสวียนอู่เฉิน นิ่งไปอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะส่ายหน้าเบาๆ และตอบอย่างเรียบเฉย


"ข้าไม่รู้จัก"


เมื่อเสวียนอู่เฉินปฏิเสธ ก็ไม่มีความจำเป็นใดที่ต้องกล่าวถามต่อ เล้งซานได้แต่เก็บงำความสงสัยคาใจในอากัปกิริยาที่แสดงออกของเสวียนอู่เฉินนี้ไว้ และโคจรพลังรักษาตัวต่อโดยไม่กล่าวสิ่งใด



"กุยกู่หยาง นำทหารจัดการพื้นที่ในส่วนนี้ซะ ส่วนเจ้าเล้งซานข้าจะให้กงกงหลิว พาเจ้าไปพักที่ห้องรับรองอีกด้าน จากนั้นพรุ่งนี้เช้าเข้ามาพบข้าเป็นการส่วนตัว" เสวียนอู่เฉิน กล่าว



"พะยะค่ะ" เล้งซาน และกุยกู่หลาง ตอบรับพร้อมกัน



............



กลางดึกคืนนั้นเอง กงกงหลิว หลังจัดหาที่พักให้เล้งซานเรียบร้อยแล้ว จึงเข้าพบเสวียนอู่เฉิน ทันทีตามคำสั่ง



"ฝ่าบาท พระองค์ทราบอย่างนั้นหรือ? ว่าจี้กงหยุน ผู้นี้เป็นใคร" กงกงหลิวกล่าวถามด้วยสีหน้าค่อนข้างกังวล เพราะหากมิใช่เรื่องสำคัญเสวียนอู่เฉินจะไม่เรียกตัวมันกลางดึกเช่นนี้



"เฮ้อ...ข้ามิอาจบอกได้เต็มปากว่ารู้จัก ข้าเคยเพียงแค่ได้ยินชื่อมันมาเท่านั้น"



"เคยได้ยิน? จากที่ใดหรือ?"



"กงกง ท่านจำ อาวเฉินฟาง ได้หรือไม่?"



"ทูลฝ่าบาท กระหม่อมย่อมจำได้ดี อาวเฉินฟาง คือหัวหน้าหน่วยลับที่ 1 ขึ้นตรงต่อฝ่าบาทเพียงผู้เดียว แต่เมื่อ 20 ปี ฝ่าบาททรงมีคำสั่งลับ ให้ อาวเฉินฟาง เข้าไปสืบเรื่องราวของกลุ่มปีศาจอสูร แต่หลังจากนั้นก็ได้หายตัวไปอย่างลึกลับ โดยไม่ทราบได้แน่ชัดว่ายามนี้ยังมีชีวิตอยู่หรือไม่" กงกงหลิวกล่าวตอบ



"อืม...ในยามนั้น อาวเฉินฟาง เป็นชนชั้นลมปราณสีส้ม ขั้นที่ 2 แข็งแกร่งกว่าข้าเมื่อ 20 ปีก่อนเสียอีก ข้าจึงไว้วางใจให้ไปสืบข่าวของกลุ่มปีศาจอสูรที่แข็งแกร่ง และเชื่อมั่นว่าถึงแม้มันจะถูกเจอตัวมันก็คงไม่อาจเอาชนะ แต่ก็ย่อมต้องหลบหนีได้โดยง่าย แต่แล้ววันหนึ่งเมื่อ 20 ปีก่อน อาวเฉินฟาง ได้ใช้หยกสื่อสารโบราณส่งข้อความถึงข้า โดยเนื้อความนั้นก็คือ



'กระหม่อมสืบทราบแหล่งกบดาน ของกลุ่มปีศาจอสูรนี้แล้ว และกระหม่อมยังได้ข้อมูลคร่าวๆอีกว่า หัวหน้าของกลุ่มนี้ มีนามว่า จี้กงหยุน กระหม่อมขอสืบต่ออีกเล็กน้อยเพื่อความแน่ชัด จากนั้นจะรีบกลับไปรายงานแก่ฝ่าบาท'



และนั่นก็เป็นครั้งสุดท้ายที่ข้าได้รับรายงานจาก อาวเฉินฟาง"



เสวียนอู่เฉิน ยกมือขึ้นกุมขมับแสดงสีหน้าเคร่งเครียดขึ้นมาหลังกล่าวจบ


กงกงหลิว เบิกตากว้างโปนโตทันที เพราะมันก็พึ่งเคยได้ยินเรื่องรายงานสุดท้าย เป็นครั้งแรก



"ฝ่าบาท!! ถ้าหากเป็นเช่นนั้นงั้นก็แปลว่า..."



"อืม...พวกกลุ่มปีศาจอสูรเพ่งเล็งมาที่เล้งซานอย่างแน่นอน และการที่มันปล่อยเจ้าเด็กนั้นไว้ในวันนี้ ก็แปลว่ามีโอกาสสูงมาก ที่พวกมันต้องการจะให้เจ้าหนูนั่นเข้าร่วมกับกลุ่มปีศาจอสูร" 



"เช่นนั้น เราควรจะทำอย่างไรดี" สีหน้าของกงกงหลิวซีดเซียวในฉับพลัน



"เฮ้อ...ตัวข้าก็ไม่รู้ ข้าตั้งใจว่าจะดูอากัปกิริยาของเจ้าเล้งซานในวันพรุ่งนี้เสียก่อน หากมันมีทีท่าว่าจะไปเข้าร่วมกับกลุ่มปีศาจอสูร ข้าย่อมต้องสังหารมันในทันทีโดยไม่มีข้อยกเว้น!!" 


เสวียนอู่เฉินนัยน์ตาแข็งกร่าวขึ้น จิตคุกคามเปี่ยมล้นสาดส่องชัดเจน แม้กงกงหลิวคนสนิทที่ประสานสายตาเพียงชั่วครู่เดียวยังถึงกับตัวสั่นงันงกไปด้วยอาการหวาดหวั่น



......



เช้าวันรุ่งขึ้น เล้งซานเข้าพบเสวียนอู่เฉินตามคำสั่ง เป็นการส่วนพระองค์ แต่ในครานี้มีกงกงหลิวยืนข้างกายองค์จักรพรรดิ์ เล้งซานสะกิดใจขึ้นเล็กน้อย แต่ก็มิได้กล่าวสิ่งใด



"ถวายบังคมฝ่าบาท"


เล้งซานคุกเข่าประสานมืออย่างนอบน้อม สภาพของเล้งซานยามนี้นั้นฟื้นตัวจากเมื่อคืนได้ในระดับหนึ่ง ด้วยพลังในการรักษาขั้นสูงที่ศึกษาจากเฟรย่า และเม็ดยาโอสถคุณภาพสูงอีกมากมาย ฟื้นฟูร่างกายได้กว่า 8 ใน 10 ส่วนแล้ว



แต่ทว่าในด้านพลังลมปราณนั้นไม่อาจเรียกได้ว่าสมบูรณ์ ส่วนใหญ่เป็นสาเหตุมาจากผลกระทบของวิชาอักขระร่างกายที่ใช้ ทำให้ยามนี้ควบคุมลมปราณในร่างได้เต็มที่เพียงแค่สองส่วนเท่านั้น แต่จะมีผลเพียงแค่ไม่กี่ชั่วยาม เนื่องจากเล้งซานบรรลุลมปราณในระดับชั้นสูงขึ้นกว่าแต่ก่อน



"ลุกขึ้น" เสวียนอู่เฉินกล่าวอย่างสงบ



"ขอบพระทัยฝ่าบาท"



"ที่ข้าเรียกเจ้ามาในวันนี้ เจ้าก็น่าจะทราบว่าเกี่ยวกับเรื่องเมื่อคืน ในยามนั้นมีทหารอยู่มากเกินไป ไม่อาจพูดได้เต็มปากว่าไร้ศัตรูแอบแฝงเข้ามาในกลุ่มคนเหล่านั้น ต่อให้เป็นความเข้มงวดในวังหลวงก็เถอะ"



"ฝ่าบาท พระองค์ต้องการตรัสสิ่งใดกันแน่?" เล้งซานเริ่มขมวดคิ้วแน่นขึ้น มันยังคาใจเรื่อง จี้กงหยุน มากมายนัก



"ข้าเคยได้ยินนามนั้น" เสวียนอู่เฉินกล่าวขึ้น แววตาฉายความเครียดแค้นออกมาอย่างชัดเจน ก่อนจะกล่าวต่อ...



"มันคือนามของคนที่มีความเป็นไปได้สูงสุด ว่าจะเป็นหัวหน้าของกลุ่มปีศาจอสูร!! และที่ข้าเรียกเจ้ามาวันนี้ เพราะข้าต้องการรู้ว่ามันพูดสิ่งใดกับเจ้าเมื่อคืนนี้!!"



ปึ้ง!!



เสวียนอู่เฉิน ตบฝ่ามือลงมันบัลลังก์จนเกิดเสียงขึ้น และลุกขึ้นยืนด้วยกิริยาดุดัน แสดงให้เห็นได้ชัดว่าคำตอบของเล้งซาน จะเป็นตัวกำหนดอะไรบางอย่าง


เล้งซานอึ้งไปชั่วขณะ มันค่อนข้างแน่ใจว่า จี้กงหยุน ย่อมมิใช่ตาแก่ธรรมดาสามัญเป็นแน่ ถึงขั้นกล้าบุกเข้าเขตวังหลวง ทำลายเรือนรับรองของราชวงศ์เสวียนอู่ที่ปกครองทวีป เพียงเพื่อมาพบเล้งซาน เท่านั้น!! การกระทำที่อุกอาจเช่นนี้ มันเชื่อว่าต่อให้เป็นคนของขุมอำนาจใหญ่ในทวีป ก็ย่อมมิกล้ากระทำ หรือต่อให้กล้ากระทำ ก็ไม่มีทางเอ่ยปากประกาศชื่อของตนเองอย่างแจ่มชัดปานนี้ 



ความเป็นไปได้สูงสุดย่อมต้องเป็นคนของกลุ่มปีศาจอสูร แต่สิ่งที่มันไม่นึกไม่ฝันก็คือ คนผู้นี้จะเป็นถึงหัวหน้าของกลุ่มคนที่แข็งแกร่งที่สุดในทวีป!! เล้งซานเริ่มรู้สึกว่าตนโชคดีมากแค่ไหน ที่เมื่อคืนมันไม่ถูก จี้กงหยุน ฉีกเป็นชิ้นๆ เพราะประวัติอันโชกโชนของกลุ่มปีศาจอสูรนั้น พวกมันมิเคยปล่อยให้ผู้ใดหลุดรอดไปได้ หากเมื่อคืนเล้งซานไม่ได้แสดงฝีมือออกมาในระดับที่ จี้กงหยุน ยอมรับ มันย่อมต้องถูกสังหารในฉับพลัน ณ ตอนนั้นอย่างแน่นอน



เล้งซานเมื่อได้เห็นท่าทีที่แสดงออกชัดเจนของเสวียนอู่เฉิน มันก็ย่อมรู้อยู่แก่ใจว่า หากมันเอ่ยปากเข้าร่วมเป็นผู้สืบทอดของจี้กงหยุน มันย่อมตกตายภายในท้องพระโรงแห่งนี้อย่างแน่นอน ด้วยฝีมือขององค์จักรพรรดิ์แห่งทวีปเต่าทมิฬ



"ทูลฝ่าบาท จี้กงหยุน ยื่นข้อเสนอให้กระหม่อมรับตำแหน่งผู้สืบทอดของมัน ก่อนวันรับตำแหน่งจากราชวงศ์ในอีก 6 วันข้างหน้า"



"บัดซบ!!"


เสวียนอู่เฉิน สบถ ออกมาด้วยเสียงที่ดังคำราม จนท้องพระโรงถึงกับสั่นไหว ดวงตาแดงก่ำขึ้นด้วยโทสะ แม้มันจะคาดการณ์ไว้ก่อนแล้วว่าเล้งซานอาจถูกดึงให้เข้าร่วมกลุ่มปีศาจอสูร แต่มันก็คิดว่า จี้กงหยุน จะถึงขั้นเอ่ยปากรับเล้งซานเป็นผู้สืบทอดของตน!! ผลลัพท์ที่ออกมามันย่อมแตกต่างกันอย่างชัดเจน!!



เพราะหากมันเอ่ยมาเช่นนี้ การที่ราชวงศ์เสวียนอู่ดึงเล้งซานเข้าร่วมอย่างเป็นทางการ ย่อมหมายถึงการประกาศแย่งชิงหัวหน้ากลุ่มปีศาจอสูรในรุ่นถัดไป!! และในอนาคตอันใกล้ ย่อมต้องเกิดสงครามระหว่างราชวงศ์และกลุ่มปีศาจอสูรอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้!!



104







rooot 888-02

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น